13. คาเทซิน ( Catechin )
เป็นสารแอนติออกซิแดนต์ที่ดีมากๆ อีกชนิดหนึ่งในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งให้รสขมและฝาด พบมากที่สุดในชาเขียว สารชนิดนี้ เมื่อสัมผัสกับความร้อนเวลาเราชงชาจะละลายตัวออกมา สถาบันชา มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง วิจัยพบว่าในใบชามีคาเทซินถึงประมาณร้อยละ 60 - 70 % ความสามารถคาเทซินก็คือ ช่วยป้องกันมะเร็งและป้องกันหลอดเลือดเสื่อม ช่วยในเรื่องการทำงานของกระดูกอ่อน และป้องกันโรคข้ออักเสบ นอกจากชาเขียวแล้ว ยังพบได้ในชาขาว ชาดำ โกโก้ องุ่น พีช ฯลฯ
รู้จักสารคาเทชิน ในชาเขียว
ช่วง
นี้กระแสฮิตชาเขียวกลับมาอีกครั้ง ส่งผลให้ผู้ผลิตบางราย
โหมโฆษณาถึงประโยชน์ของสารชนิดหนึ่ง ซึ่งมีในชาเขียว
เท็จจริงสารที่ว่านี้คืออะไร แล้วดีจริงหรือ
สารคาเทชิน
ในบรรดาชาหลายชนิด ๆ ไม่ว่าจะเป็นชาเขียว ชาดำ หรือชาอูหลง
ต่างมีสารเคมีสำคัญ ที่มีผลดีต่อสุขภาพของเรา ไม่ว่าจะเป็นสารพอลีฟีนอล
สารทีเอนีน สารคาเทชีน แต่สำหรับชาเขียว
ดูเหมือนจะถูกยอมรับว่ามีสารคาเทชินมากที่สุด และสารตัวนี้
ให้ประโยชน์อะไรบ้าง
1.มีส่วนช่วยในกระบวน
การขจัดไขมันคอเรสเตอรอลในหลอดเลือด ลดภาวะความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง
เนื่องมาจากการอุดตันของไขมันในหลอดเลือด
2.ช่วยในการขับสารพิษและอนุมูลอิสระต่าง ๆ
ที่ส่งผลในการป้องกันความเสี่ยงของภาวะมะเร็ง
และโรคความเสื่อมของเซลล์และอวัยวะต่าง ๆ ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า
คาเทชิน มีบทบาทสำคัญ โดยลดภาวะเป็นพิษของสารก่อมะเร็งบางชนิด
แทรกแซงกระบวนการยึดเกาะของสารก่อมะเร็งกับ DNA ของเซลล์ปกติ
และจำกัดการลุกลามของเซลล์เนื้องอกด้วย
3.ลดระดับน้ำตาลในเลือด
สารคาเทชินสารมารถจำกัดการทำงานของเอนไซม์อะมิเลส
ทำให้ไม่สามารถดูดซึมน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่ร่างกาย
ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดต่ำลง
4.ช่วยรักษาสุขภาพในช่องปาก
คาเทชินจะมีผลไปยั้บยั้งเชื้อจุลินทรีย์ที่สร้างคราบหินปูนในช่องปาก
ลดการเกิดฟันผุ ดังนั้น หากดื่มชาเขียวหลังจากทานอาหารเสร็จ
นอกจากดีต่อสุขภาพภายในแล้ว ยังดีต่อสุขภาพช่องปากด้วย
5.ช่วยลด
น้ำหนักได้ ทั้งนี้
สารสกัดที่ได้จากชาเขียวจะสามารถเพิ่มการเผาผลาญพลังงานและดึงพลังงานนั้น
ออกมาใช้โดยไม่มีการสะสมในรูปแบบของไขมัน ผู้ที่อยุ่ระหว่างการลดน้ำหนัก
ชาเขียวน่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดีเลยทีเดียว
มาถึงตรงนี้
หลายคนคงแทบจะรีบพุ่งไปร้านสะดวกซื้อเพื่อหาชาเขียวมาดื่มกันแน่
แต่เดียวก่อน ไม่มีอะไรที่มีแต่ข้อดี ข้อเสียของชาเขียวก็มีเช่นกัน
แม้ว่าจะยังไม่มีรายงานถึงผลเสียของการได้รับคาเทชินเข้าสู่ร่างกายในปริมาณ
มาก ๆ ก็ตาม อย่าลืมว่าในชาเขียวเอง ไม่ได้มีสารเคมีที่สำคัญเพียงตัวเดียว
การดื่มชาเขียวในปริมาณมาก ๆ ย่อมส่งผลให้นอนไม่หลับ เนื่องจากคาเฟอีน นอกจากนี้ สารแทนนินที่
อยู่ในน้ำชา จะออกฤทธิ์กระตุ้นให้หลั่งน้ำย่อยมากกว่าปกติ
ส่งผลต่อการทำงานของกระเพาะอาหารได้
และชาที่เข้มข้นเกินไปก็ทำให้ท้องผูกได้เช่นกัน
และถ้าหากต้องการดื่มชา
ที่มีสารคาเทชินให้ครบถ้วนแล้ว ควรจะดื่มตอนร้อนเท่านั้น
เพราะเครื่องดื่มชาเขียวสำเร็จรูปที่เราเห็นตามตู้แช่
ได้ผ่านกรรมวิธีจนสารคาเทชินไม่เหลืออยู่แล้ว
แถมผู้ผลิตยังได้ใส่น้ำตาลเพื่อเข้าไปเพื่อให้มีรสชาติถูกปาก
(รสชาติชาที่แท้จริง จะมีรสขมปนฝาด)
แทนที่จะได้รับประโยชน์จากชาเขียวเต็มที่
ยังต้องเสียรู้ให้กับผู้ผลิตอีกต่างหาก
ดังนั้น การดื่มชาเขียว ไม่ใช้สักแต่ว่าจะดื่ม หรือใครก็ดื่มได้ มีข้อควรระวังสำหรับผู้ที่ต้องการดื่มชาเขียวด้วย
-ไม่ควรดื่มชาขณะกินยา
เพราะสารต่างๆ ในน้ำชาอาจทำปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์ต่อยาที่กินเข้าไป
อาจทำให้คุณสมบัติของยาเจือจางหรือเสื่อมสภาพลง
หรือขั้นร้ายแรงอาจกลายเป็นสารพิษได้ ถ้าหากอยากดื่มควร
ดื่มก่อนหรือหลังทานยาประมาณ 2 ชั่วโมง
-ไม่ควรดื่มชาก่อนนอนโดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน สตรีมีครรภ์ คนชรา และเด็กเล็ก
และโดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ขวบ ไม่ควรดื่มน้ำชา เพราะกรดแทนนิก
เมื่อรวมตัวกับธาตุเหล็กในกระเพาะอาหารและลำไส้จะกลายเป็นสารที่ไม่สามารถ
ละลายได้ ทำให้เด็กเล็กไม่เติบโต มีอาการขาดธาตุเหล็กและเป็นโรคโลหิตจางได้
-ไม่ควรดื่มชาร้อนจัด
เพราะการดื่มของร้อนจัดมีผลข้างเคียงต่อช่องปาก ลำคอ ลำไส้ได้
อาจทำให้เนื้อบางส่วนในช่องปากตาย และอาจเป็นต้นเหตุกระตุ้นเซลล์มะเร็งได้
-ผู้ที่ไตทำงานบกพร่องหรือมีอาการไตวาย ไม่ควรดื่มน้ำชามาก เพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อยและไตต้องทำงานหนักขึ้น ขณะที่ประสิทธิภาพของไตยังทำงานได้ไม่เต็มที่
-ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจ
ผู้ป่วยที่หลอดเลือดแดงใหญ่ในหัวใจอุดตันไม่ควรดื่มน้ำชาเข้มข้น
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายถูกกระตุ้นมากเกินไป
หากความดันโลหิตขึ้นสูงมาก
หรือหัวใจถูกกระตุ้นมากเกินขีดจะเป็นอันตรายถึงชีวิตอย่างรวดเร็วฉับพลัน
-ผู้ที่มีไข้สูง
ไม่ควรดื่มน้ำชา เพราะด่างในน้ำชาจะทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
กระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น จึงยิ่งทำให้อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มสูงขึ้น
กรดแทนนิกในน้ำชายังส่งผลให้ร่างกายขับเหงื่อออกมาได้น้อยกว่าปกติ
ทำให้ระบบการขับเหงื่อของร่างกายทำงานบกพร่อง
แล้วดื่มชาอย่างไรจึงจะได้ประโยชน์อย่างแท้
จริง มีเคล็ดลับง่าย ๆ คือ ไม่ควรต้มชานานเกินไป ในชา 1 ถึง หรือประมาณ 2-4
กรัม (1-2 ช้อนชา ขึ้นอยู่กับชนิดของชา) ต่อถ้วย ต้มน้ำให้เดือด
จากนั้นทิ้งไว้ 3 นาที แล้วแทน้ำร้อนลงบนถุงชา และทิ้งไว้ 3 นาที
นำถุงชาออก ปล่อยให้เย็นอีก 3 นาที
จะเลือกกิน หรือเลือกทาน
อย่าแค่ตามกระแสแฟชั่น รู้ให้จริง
จะไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้ผลิตที่มุ่งเอาแต่ผลกำไร เลือกให้เหมาะกับ
ที่สำคัญเดินทางสายกลางในการดูแลสุขภาพ น่าจะเป็นวิธีที่ดีทีสุด
ข้อมูลจาก ฉัตรฤดี สุวรรณชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น