9. แคปไซซิน ( Capsaicin )
หลายคนอาจได้ยินชื่อสารชนิดนี้มาบ้างจากพริก คุณสมบัติเผ็ดร้อนของแคปไซซิน เป็นตัวทำให้พริกหรือเครื่องเทสบางชนิดมีความเผ็ด ความเผ้ดมีประโยชน์หลายอย่างค่ะ ช่วยลดอาการปวด ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และช่วยละลายลิ่มเลือด
ส่วนคุณสมบัติในการต้านมะเร็ง แคปไซซินจะยับยั้งสารเคมีที่เป้นตัวกระตุ้นการมะเร็งจากการสูบบุหรี่ได้ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยนอตทิงแฮมประเทศอังกฤษ รายงานว่า สารชนิดนี้จะไปทำให้เซลล์มะเร็งตาย โดยไม่ไปทำร้ายเซลล์ดีที่อยู่รอบๆ
ผลวิจัยพบสารแคปไซซิน (Capsaicin) ในพริกขี้หนู ซึ่งทำให้เกิดความเผ็ดร้อน สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางยา ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
รศ.สุ
พีชา วิทยเลิศปัญญา ภาควิชาเภสัชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ
ศึกษาวิจัยเรื่อง "เภสัชจลนศาสตร์ของสารแคปไซซินในพริกขี้หนูสด
และฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพริกขี้หนูสดต่อน้ำตาลในเลือดในอาสาสมัครสุขภาพดี"
เพื่อพิสูจน์สรรพคุณของสารแคปไซซินว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้หรือไม่
"แคปไซซินพบมากที่สุดบริเวณรกของพริกขี้หนู
วิธีการวิจัยระยะแรกจะศึกษานำร่องในอาสาสมัครจำนวน 2 ราย
เพื่อพิสูจน์ปริมาณที่เหมาะสมของสารตัวนี้ที่มีผลทำให้ระดับน้ำตาลลดลง
โดยใช้พริกขี้หนูขนาด 5 กรัม พบว่าสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดลงชัดเจน
จากนั้นทดลองในอาสาสมัครจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 12 ราย
กลุ่มหนึ่งทานพริกขี้หนูบรรจุในแคปซูลพร้อมกับน้ำตาลความเข้มข้นสูง
อีกกลุ่มทานแคปซูลเปล่า เพื่อเปรียบเทียบผลแล้วจึงวัดระดับน้ำตาลในเลือดทุก
15 นาที ตั้งแต่เริ่มทานยาเป็นเวลา 2 ชั่วโมง
ปรากฏว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัดในนาทีที่ 30
โดยกลุ่มที่ทานพริกขี้หนูสดมีระดับน้ำตาลลดลงมากกว่ากลุ่มที่ทานแคปซูล
เปล่า" รศ.สุพีชา ระบุ
ผลการวิจัยสรุปได้ว่าพริกขี้หนูสดขนาด 5
กรัมมีคุณสมบัติในการลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
และสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินได้
ผลที่ได้น่าจะมาจากการที่แคปไซซินดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและออกฤทธิ์กระตุ้น
การหลั่งอินซูลินนั่นเอง
"นอกจากพริกขี้หนูสดแล้วยังมีสมุนไพรชนิด
อื่น เช่น ใบหม่อน มะระขี้นก ฯลฯ ที่มีผลต่อการลดระดับน้ำตาลในเลือด
ซึ่งจะต้องศึกษาวิจัยต่อไป
เพื่อใช้สมุนไพรดังกล่าวเสริมกับการรับประทานยาแผนปัจจุบัน
สำหรับงานวิจัยที่จะทำต่อไปในอนาคตจะศึกษาวิจัยเพิ่มเติมในกลุ่มผู้ป่วยเบา
หวาน" รศ.สุพีชา กล่าว
พริก...ช่วย
บรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น
สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวาง
ระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วย
บรรเทาอาการไอ สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของตัวยาหลายๆ ชนิด
นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ
ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอด
พริก...ช่วย
ลดการอุดตันของเส้นเลือด
หรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน
การบริโภคพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด
นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว
เนื่องจากพริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดัน
เพราะว่าในพริกมีสารจำพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี
ซึ่งช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด
ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น
พริก...ช่วย
ลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล
สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density
lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี
(HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น
ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค
พริก...ช่วยลด
ความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง
การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้
วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร
วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน
รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด
คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้
นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant)
คือสามารถยุติหรือขัดขวางบทบาทของอนุมูลอิสระ (free radicals)
ที่จะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด
สารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งในปอด และในช่องปาก
คนที่รับประทานผักที่มีสารเบตาแคโรทีนน้อย
จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าคนที่รับประทานผักที่มีเบตาแคโรที
นสูงถึง 7 เท่า
คุณสมบัติของสารเบตาแคโรทีนจะช่วยลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์
และทำลายเซลล์มะเร็ง สำหรับพริกบางชนิดที่มีสีม่วงจะมีสารพวกแอนโทไซยานิน
ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือ
สามารถทำลายอนุมูลอิสระได้เช่นกัน
พริก...ช่วย
บรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ
และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น
ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง
ใช้บรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงบริเวณผิวหนัง
รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น
นอกจากนี้ผลการทดลองใหม่ๆยังบ่งชี้ว่าสารแคปไซซินช่วยลดอาการปวดศีรษะและไม
เกรนลงได้
พริก...ช่วย
เสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ดี
เนื่องจากสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร
เอนดอร์ฟิน (endorphin มาจากคำว่า endogenous morphine) ขึ้น
สารเอนดอร์ฟินเป็นเปปไทด์ขนาดเล็ก (โปรตีนสายสั้นๆ)
มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด
ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด
ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น
ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย
ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า
แต่ผู้ออกกำลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส
ถ้าต้องการบรรเทาความเผ็ดของอาหารในปากควรดื่มแอลกอฮอล์
หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบมากกว่าการดื่มน้ำ
เพราะการดื่มน้ำมีผลเพียงช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนได้เท่านั้น
แต่ความเผ็ดก็ยังไม่ได้ลดลง เนื่องจากว่า ‘น้ำ'
ละลายสารดังกล่าวได้ไม่ดี...นั่นเอง
Tips
เกณฑ์วัดระดับความเผ็ดร้อนสากลของพริกหรือผักผลไม้ที่มีสารแคปไซ
ซินซึ่งให้ความเผ็ดร้อนนี้เรียกว่า สโกวิลล์ (Seoville)
เป็นคำที่ตั้งขึ้นตามชื่อของผู้คิดค้นวิธีการวัดระดับนี้ ซึ่งก็คือ
วิลเบอร์ ลินคอร์น สโกวิลล์ นักเคมีชาวอเมริกัน
โดยเขาได้คิดค้นระดับวัดความเผ็ดนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1912
ขณะทำงานอยู่ที่บริษัทผลิตยา พาร์ก เดวิส
เพื่อวัดความฉุนหรือความเผ็ดร้อนของพริกต่างชนิดกัน
สำหรับความเผ็ดที่วัดได้จากพริกขี้หนูสวนบ้านเรานั้นจะอยู่ที่
50,000-100,000 สโกวิลล์ ในขณะที่สารแคปไซซินบริสุทธิ์นั้นมีค่าประมาณ
15,000,000-16,000,000 สโกวิลล์
ส่วนพริกที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊กว่าเผ็ดที่สุดในโลกก็คือ
พริกฮาบาเนโร จากเรด ซาบีนา วัดค่าได้ถึง 350,000-577,000
สโกวิลล์...เลยทีเดียว
คุณหรือหรือไม่คะว่าในพริกมีสารชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า “แคปไซซิน” ซึ่งเป็นตัวที่ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญได้
โดยจะทำให้ร่างกายของเราสามารถใช้แคลอรีได้เร็วขึ้น
เพราะในสารแคปไซซินช่วยทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นนั่นเองค่ะ นอกจากนี้
มีงานวิจัยที่พบว่า
คนที่กินอาหารรสเผ็ดจะสามารถกินอาหารได้ในปริมาณที่น้อยลง ทำให้ผอมลงได้ค่ะ
และช่วยรักษาอาการอักเสบในร่างกายได้อีกด้วยค่ะ
>> ประโยชน์ของการกินเผ็ด
- ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น และความดันโลหิตลดลง แต่จะไหลเวียนไปทั่วร่างกายสะดวกยิ่งขึ้นค่ะ
- พริกช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดด้วยค่ะ เพราะประกอบไปด้วยวิตามินเอและวิตามินซีนั่นเอง
- อาหารที่มีรสเผ็ดจะช่วยชะลอการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ค่ะ
- ช่วยส่งเสริมระบบย่อยอาหารได้ค่ะ เพราะมันจะไปเพิ่มการหลั่งน้ำกรดในกระเพาะอาหาร
- แคปไซซินในอาหารรสเผ็ดจะช่วยฆ่าแบคทีเรีย H.Pylori ที่เป็นตัวการของแผลในกระเพาะอาหาร และป้องกันโรคกระเพาะได้ค่ะ แต่ถ้าคุณเป็นโรคกระเพาะแล้วก็ไม่สามารถช่วยได้ค่ะ
- ขมิ้นชัน จะช่วยลดอาการอักเสบบริเวณข้อต่อ โดยมี Curcumin เป็นสารประกอบหลัก และมีคุณสมบัติบรรเทาอาการปวดข้อด้วยค่ะ
- พริกขี้หนูจะช่วยเพิ่มระดับของฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟินและเซโรโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นสมุนไพรที่ช่วยต้านโรคซึมเศร้า และคลายเครียดได้ด้วยค่ะ
- หากกินรสเผ็ดจัดเกินไป จะทำให้เป็นโรคกระเพาะและผนังกระเพาะอักเสบได้ค่ะ
- เป็นการกระตุ้นให้เกิดกรดไหลย้อนค่ะ การที่เราเรอหลังจากกินอาหารรสเผ็ดเข้าไปไม่ได้แปลว่าเราไม่มีมารยาทนะคะ แต่นั่นเกิดจากร่างกายของเราไม่สามารถจัดการกับอาการรสจัดได้ค่ะ
- ทำให้นอนไม่หลับ เนื่องจากอาหารรสเผ็ดไปเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นนั่นเองค่ะ
- ทำให้ปุ่มรับรสเสียไปถ้าหากกินเผ็ดนานๆ ไป
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น