20. โคเอนไซม์คิวเทน ( Coenzyme Q10 )
หรือเรียกสั้นๆ ว่า CoQ10 เป็นสารประกอบคล้ายวิตามิน ช่วยดูแลการทำงานของอวัยวะสำคัญๆ อย่างเช่น ช่วยด้านการสูบฉีดเลือดและต้านการเสื่อมของหลอดเลือด หัวใจ ตับ กล้ามเนื้อ และช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- โคเอ็นไซม์
คิวเทน ( Coenzyme Q10 ) คืออะไร
คือ
โคเอ็นไซม์ คิวเทน หรือ วิตามินQ เป็นสารคล้ายวิตามินที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างพลังงาน
ของเซลล์ร่างกายที่มีความจำเป็นต่อเซลล์ต่างๆในร่างกาย
- โคเอ็นไซม์ คิวเทน ( Coenzyme Q 10 ) มาจากไหน
Coenzyme Q10 ตาม ธรรมชาติ
เกิดขึ้นเองภายในเซลล์ของอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูงเช่น หัวใจ ตับ ไต
และยังพบที่เซลล์อื่นๆอีก เช่น
ที่ผิวหนังโดยที่ชั้นหนังกำพร้าละหนังแท้แต่จะมีจำนวนลดลงเมื่อมีอายุมาก ขึ้น
นอกจากนี้ยังได้รับจากการรับประทานอาหารจำพวกปลาที่มีไขมันมาก เช่น ปลาทู ปลาซาบะ
ปลาซาร์ดีน เนื้อสัตว์ประเภทไก่ ถั่ว
เมล็ดธัญพืชที่ไม่ขัดขาวผลไม้เปลือกแข็งผักเช่น บร๊อคโคลี่ ปวยเล้ง
- โคเอ็นไซม์ คิวเทน ( Coenzyme Q10 ) ดีอย่างไรต่อร่างกาย
คุณสมบัติเด่นของ
Coenzyme Q10
เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั่นคือสามารถชะลอความแก่ได้ โดยที่
Coenzyme Q10 สามารถ
สร้างพลังงานให้กับผิวเพื่อในการแบ่งเซลล์
ทำให้ริ้วรอยต่างๆสามารถลดลงและเลือนหายไป
นอกเหนือจากคุณสมบัติในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและชะลอความแก่ได้ Coenzyme
Q10 ยัง
มีคุณสมบัติต่างๆเช่นในการทำงานของหัวใจดีขึ้น
ช่วยเสริมเกราะภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นป้องกันและรักษาโรคเหงือกความดันเลือด สูง
คลอเรสเตอรอลสูง
การทำงานของโคเอ็นไซม์ คิวเทน
การทำงานของโคเอ็นไซม์คิวเทน
ทำตัวเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ(Free Radicals) คล้าย
กับวิตามินซี วิตามินอีช่วยป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระเข้าโจมตีโมเลกุลไขมันในเซลล์
ช่วยรักษาผนังของเซลล์ให้คงสภาพสมบูรณ์ โคเอ็นไซม์ คิวเทน ออกฤทธิ์ในอวัยวะของเซลล์
ส่วนที่เรียกว่า
โบโตคอนเครีย ซึ่งเป็นเหมือนโรงงานสำคัญ ที่ผลิตพลังงานสำหรับเซลล์ทำหน้าที่สันดาปโดยใช้ออกซิเจนด้วยกระบวนการที่ เรียกว่าไอโออีเนอเจติตส์
โบโตคอนเครีย ซึ่งเป็นเหมือนโรงงานสำคัญ ที่ผลิตพลังงานสำหรับเซลล์ทำหน้าที่สันดาปโดยใช้ออกซิเจนด้วยกระบวนการที่ เรียกว่าไอโออีเนอเจติตส์
- ผลการศึกษาโคเอ็นไซม์ คิว 10
ผลการศึกษาของอเมริกา โดยมหาวิทยาลัยบอสตัน
พบว่า Q10 ช่วย
ยับยั้งการจับตัวเป็นก้อนแข็งของคลอเลสเตอรอลในหลอดเลือดแดงหัวใจ
จึงป้องกันเส้นเลือดอุดตันของหัวใจด้วยและยังพบด้วยว่าการออกฤทธิ์แบบนี้
แรงกว่าวิตามินอีและเบต้าแคโรทีนเสียอีก
นอกจากนี้ยังพบว่า โคเอ็นไซม์ Q10
ยังมีฤทธิ์ช่วยป้องกันการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจทำงานล้มเหลวเรียกว่า
Cardiomyopathy ซึ่ง หมายถึงการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอ
จนทำงานล้มเหลวเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โรคนี้เรียกว่าโรคหัวใจโตซึ่งเกิดจากการขยายใหญ่ขึ้นของหัวใจ
แต่ประสิทธิภาพของการทำงานกลับลดลง สูบฉีดโลหิตได้น้อยลงกว่าเดิม
ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ไม่เต็มที่ เกิดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายและไม่มีแรง
จากการศึกษาในคนไข้ชาวอิตาเลียนกว่า 2,500 ราย พบว่ากว่าร้อยละ 80 มีอาการของโรคหัวใจดีขึ้นเมื่อกินโคเอ็นไซม์
คิวเทน วันละ100 มิลลิกรัม
ส่วน ประเทศญี่ปุ่น มีการทำวิจัยไว้ถึง 25
ชิ้น พบว่าผู้ป่วยร้อยละ 70 มีอาการดีขึ้นจากโรคหัวใจปัจจุบันโคเอ็นไซม์ คิวเทน เป็นยาตามใบสั่งที่มีขายทั่วไปประเทศญี่ปุ่นหลายแห่งสังเคราะห์และผลิตโคเอ็นไซม์คิวเทนจำหน่ายทั่วโลก
- ความมหัศจรรย์ของ โคคิว 10
โคคิว 10 หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ ยูบิควิโนน (Ubiauinone) เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับสุขภาพและการอยู่รอด
มีอยู่ในเซลล์ของมนุษย์ทุกเซล โคคิว 10 นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการถ่ายเทอีเลคตรอนสำหรับไมโตคอนเดรีย
ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของเซลล์ มี
รูปร่างคล้ายซิการ์
ร่างกายเรามีไมโตคอนเดรียหลายพันล้านอันที่ทำหน้าที่สร้างพลังงานให้กับร่าง กายเรา
โคเอนไซม์ คิว 10 เป็นสารประกอบแอนติออกซิแดนท์ที่เหมือนกับวิตามินเค
สร้างขึ้นที่ตับและเซลล์อื่นๆ แม้ว่าร่างกายสามารถสร้างขึ้นมาเองได้
แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่ยังขาดสารเหล่านี้
โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและหัวใจล้มเหลว โคเอนไซม์ คิว 10 มี
มากรในเครื่องในสัตว์, เนื้อสัตว์, ปลา,
ถั่วต่างๆ, ผักพวยเล้ง และบร๊อคโคลี่
ในรูปอาหารเสริมสามารถหาซื้อได้ในร้านอาหารสุขภาพ
- โรคที่เกิดจากการมีคิว 10 ไม่เพียงพอ
โลก ที่มีความเครียดสูงอย่างนี้
ผู้คนส่วนมากไม่ได้รับโคคิว 10 อย่างเพียงพอถึงแม้เราจะอยู่ได้ทั้งๆ
ที่ไม่มีคุณภาพพร้อมไปกับอาการกล้ามเนื้ออ่อนแอ, ความบกพร่องทางระบบประสาท, ความคิดความอ่านช้า, โรคหัวใจล้มเหลวจากเลือดคั่ง,
ความอ้วน, ความดันโลหิตสูง, อ่อนเพลีย, ปวด เค้นในอก
หรือระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องเหล่านี้ล้วนมาจากการมีระดับโคคิว 10 ต่ำ การขาดโคคิว
10 เนื่องจากความผิดปกติทางพันธุกรรมเกิดขึ้นน้อยมาก ส่วนมากมาจากสาเหตุมาจากโภชนาการที่ไม่ดี
หรือโรคบางชนิดที่ต้องการโคคิว 10 มากกว่าที่ร่างกายจะสร้างขึ้น กลุ่มที่ขาดโคคิว
10 อีกพวกหนึ่งคือ ผู้สูงอายุที่ร่างกายผลิตสารแอนติออกซิแดนท์
ได้น้อยลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- โคคิว 10 กับหัวใจ
เนื่องจากหัวใจต้องเต้นโดยเฉลี่ยวันละ 100,000 ครั้ง มันจึงต้องการพลังงานอย่างต่อเนื่องซึ่งจะต้องใช้โคคิว 10
ปริมาณมาก โรคหัวใจล้มเหลวจากเลือดคั่งอาจเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด
เพราะหัวใจไม่สามารถสูบฉีดโลหิตได้อย่างเพียงพอ ผู้ป่วยจึงค่อยๆ
ถูกขโมยลมหายใจและพลังงานไป การศึกษาหลายครั้งได้ถูกรวบรวมไว้โดยระบุถึงความสามารถของโคคิว
10 ในการลดอาการหัวใจล้มเหลว โดยมีการศึกษาครั้งหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร American
Journal of Therapeutics พบ ว่าการใช้โคคิว 10
เป็นอาหารเสริมทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตได้มากกว่า 15.7 เปอร์เซ็นต์
และทำให้การออกกำลังกายได้นานขึ้น 25.4 เปอร์เซ็นต์
- ป้องกันหลอดเลือดแดงแข็งกระด้าง (Artheriosclerosis)
โรคที่ร้ายแรงอีกชนิดหนึ่งคือ
โรคหลอดเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ (Coronary artery disease หรือ CAD) ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดหัวใจล้มเหลว
สิ่งสำคัญในการเกิด CAD นี้ก็คือการสะสมตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือดแดงโดยตรง
ซึ่งทำให้เกิดหลอดเลือดแดงแข็งกระด้าง (Artheriosclerosis) โค
คิว 10 ทำหน้าที่สำคัญในการป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็งกระด้าง
โดยไปจำกัดปริมาณไขมันที่สะสมอยู่ที่ผนังหลอดเลือดสามารถลดแผลช้ำที่เกิดจาก
ผนังหลอดเลือดแข็งด้าง ทำให้หลอดเลือดมีความคงตัวดีขึ้น
- เจ็บเค้นในอก (Angina) ความดันโลหิตสูง
ผู้ ที่รับประทานโคคิว 10
มีอาการเจ็บเค้นในอกลดลง 50 เปอร์เซ็นต์ และสามารถออกกำลังกายได้ยาวนานขึ้น
ยังช่วยผู้ที่มีความดันโลหิตสูง การใช้โคคิว 10 รักษาเป็นเวลา 10 สัปดาห์
ทำให้ความดันเลือดตัวบน (Systolic) ลดลง 20 จุด และความดันตัวล่าง (Diastolic) ลดลง 10 จุด
- โคคิว 10 กับกล้ามเนื้อ
เนื่องจากส่วนใหญ่ของหัวใจประกอบด้วยกล้ามเนื้อ
โคคิว 10 นั้นมีส่วนช่วยผู้ป่วยที่เกิดกล้ามเนื้อเสื่อมสลาย (Dystrophy)
ในการทดลองแบบ Double-Blind สองครั้งโดยมีการควบคุมติดตามผลอาการกล้ามเนื้อเสื่อมสลาย
นักวิจัยพบว่า การให้โคคิว วันละ 100 มก. ช่วยทำให้ “การทำงานของสรีระดีขึ้น” การทำงานของหัวใจเพิ่มขึ้นและอาการอ่อนเพลียลดลง
- โคคิว 10 กับสมอง
โรค พาร์คินสัน
เป็นความเสื่อมของระบบประสาทที่พบได้มากที่สุด โดยมีผลต่อผู้ที่มีอายุระหว่าง 65
ถึง 74 ปี อยู่ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ และเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ที่สูงอายุกว่า 85 ปี
โรคพาร์คินสันซึ่งเกิดจากการถูกทำลายของประสาทพิเศษชื่อว่า Striatal
dopaminergic neurons ที่
อยู่ลงลึกไปในสมองพบว่าผู้ป่วยด้วยโรคนี้มีระดับโคคิว 10 ต่ำ
การศึกษาครั้งหนึ่งพบว่า การให้โคคิว 10
เป็นอาหารเสริมช่วยชะลอความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อประสาทพิเศษเหล่านี้ลงได้ จริงๆ
โคคิว 10 เองก็เป็นการรักษาแบบธรรมชาติ
อย่างแรกที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการต่อสู้กับโรคที่ทำให้เกิด
การทำลายอย่างร้ายแรงชนิดนี้ โรคทางระบบประสาทที่ร้ายแรงอีกชนิดคือ โรคฮันทิงตัน (Huntington’s diease) เป็น โรคทางกรรมพันธุ์ชนิดหนึ่งที่หายยากและร้ายแรงถึงขนาดทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถ ควบคุมร่างกาย และต้องทนทุกข์กับสภาพความคิดความอ่านที่เสื่อมถอยลง
โชคร้ายที่ยังไม่มีวิธีที่ได้ผลดีในการรักษา อย่างไรก็ดี ในการศึกษาแบบใช้ยาหลอกแบบสุ่มโดยมีการควบคุมที่ตีพิมพ์ในวารสาร Neurology ก็ พบว่าผู้ป่วยที่รับประทานโคคิว 10 มีการเสื่อมทางประสาทลดลง 13 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาโรคฮันทิงตันได้ โคคิว 10 ก็เป็นสารชนิดแรกที่สามารถชะลออาการของโรคให้ช้าลงได้
- โรคหัวใจกับโคเอนไซม์คิว 10
หัวใจเป็นหนึ่งในอวัยวะเพียงไม่กี่ชิ้นในร่างกายที่ต้องทำงานติดต่อกันโดยที่ไม่หยุด
ดังนั้นกล้ามเนื้อหัวใจ (Myocardium) จึง
ต้องการพลังงานมาก หากเกิดสภาวะใดก็ตามที่ทำให้ระดับโคคิว 10 ลดลง
จะมีผลต่อการผลิตพลังงานให้แก่หัวใจ ทำให้มีแนวโน้มที่จะถูกฟรี แร็ดดิคัล
จู่โจมได้ง่ายความเครียดที่เกิดจาก ฟรีแร็ดดิคัล จะแสดงให้เห็นอาการได้ง่าย
ถ้าปล่อยให้อาการหัวใจล้มเหลวเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ อาจเกิดอันตรายได้
หัวใจจึงต้องการโคคิว 10 ในปริมาณที่มากขึ้น อย่างน้อยวันละ 300 ถึง 400 มก. กรณีการเกิดหัวใจล้มเหลวในเพศ
ชายนั้นสามารถระบุสาเหตุได้ ในสตรีมักเป็นแบบไม่ทราบสาเหตุ
จากการวิจัยในผู้ป่วยที่เป็นสตรีทำให้เชื่อว่า
อาการหัวใจล้มเหลวโดยส่วนมากนั้นเกิดจากอาการขาดโคคิว 10 ลดลงจนเป็นอันตราย
ทำให้สูญเสียพลังงานในกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งประสบการณ์ของผู้เขียนใช้โคคิว 10
มาตั้งแต่ปี 1986 โดยให้ครั้งแรกแก่คนไข้ที่ทำการผ่าตัดบายพาส เพียงครั้งละ 10
มก. วันละ 3 ครั้ง
ตั้งแต่นั้นมาก็ให้เพิ่มปริมาณการใช้ขึ้นกว่าตอนแรก ปัจจุบันมีผู้ป่วยหลายประเทศ
และพันคนที่รับประทานโคคิว 10 ในปริมาณที่ต่างกันออกไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอาการของแต่ละคน
เพราะหากผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อโคคิว 10 ในปริมาณที่ต่ำ
ก็จะต้องเพิ่มปริมาณเข้าไปและคงระดับนั้นเอาไว้ ซึ่งบางกรณีอาจต้องให้ได้รับวันละ
500 มก. หรือมากกว่านั้นเพื่อให้เกิดผลในการรักษา
- Congestive Heart Failure (CHF)
หัวใจล้มเหลวเพราะเลือดคั่ง (CHF)
ร้าย แรงที่สุด มักจะทำให้เกิดความทุกข์ทรมานต่อสตรีวัย 70 ถึง 80
ปี อัตราการรอดชีวิตมีน้อยกว่ามะเร็งเต้านม
และมักจะเป็นอาการขั้นสุดท้ายของโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery
disease) ความดันโลหิตสูง,
อาการขาดโลหิตเฉพาะที่เนื่องมาจากหลอดเลือดอุดตัน (Is-chemia) กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial Infarction), ติด
สุราเรื้อรัง หรือการติดเชื้อไวรัสเฉียบพลัน ผู้ป่วยหนึ่งในสาม
ป่วยด้วยโรคนี้โดยไม่ทราบสาเหตุ
มีความเป็นไปได้สูงที่ว่าผู้ป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุนั้นอาจเนื่องมาจากด้าน โภชนาการ
เนื่องจากผู้หญิง (และผู้ชาย) สูงอายุต่างก็มีระดับโคคิว 10
และสารอาหารที่จำเป็นอื่นๆ ลดลง การศึกษาทางคลินิกวิทยาหลายครั้ง
หลายแห่งได้รวบรวมข้อมูลและผลดีต่างๆ ของโคเอนไซม์คิว 10
สารนี้แสดงให้เห็นความสามารถในการทำให้อาการเจ็บเค้นในหน้าอกดีขึ้น
ช่วยลดความดันโลหิต งานวิจัยยังแสดงให้เห็นว่า โคคิว 10
ช่วยทำให้คนไข้หายจากการป่วยและฟื้นตัวเร็วกว่าจากการผ่าตัดบายพาสยังช่วย
บรรเทาพิษที่เกิดจากยาที่ใช้ในการลดโคเลสเตรอรอลและเคมีบำบัด
- ลิ้นหัวใจรั่ว (Mitral Valve
Prolapse)
การรักษาโรคลิ้นหัวใจรั่ว การรักษาด้วยยา
พบว่ามีหลายรายมากที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา Beta-Blocker และแม้แต่ผู้ที่ตอบสนองต่อการรักษา
ก็ยังกล่าวถึงผลข้างเคียงที่เกิดเช่น
- อ่อนเพลีย
- ความคิดสับสน
- ผมร่วง
- หลงลืม
อย่างไรก็ตามต้องใช้เวลานานประมาณ 30 – 60 นาที จนกว่ายาจะออกฤทธิ์ การรักษาแนว
ใหม่ด้วยวิธีที่ง่ายด้วย
การให้วิตามินและเกลือแร่ซึ่งไม่มีผลข้างเคียงใดๆ 25 – 30 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วย สนองตอบต่อโคคิว 10 ค่อนข้างดี
อาการแน่นหน้าอกและหายใจไม่เต็มอิ่มลดลง เมื่อใช้โคคิว 10 วันละ 90 – 180 มก. ซึ่งในปริมาณที่กล่าวมานี้ให้ผลดีมากต่ออาการหัวใจเต้นผิดปกติ
และยังทำให้เนื้อเยื่อเกิดการสมดุล
- ยารักษาโรคหัวใจอาจทำให้เกิดมะเร็งที่เต้านม
ผู้
ที่มีประวัติหลอดเลือดหัวใจ มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งที่เต้านมได้
พบว่าระดับโคคิว 10 ในผู้ป่วยมะเร็งหลายชนิดนั้นมีระดับต่ำ
การศึกษาจากประวัติสตรีที่เป็นมะเร็งที่เต้านม 200 คน พบว่า 40
เปอร์เซ็นต์มีระดับโคคิว 10 ต่ำกว่าปกติ สัมพันธ์กับคนไข้ที่ใช้ยา HMG-CoA
Reeducates ได้แก่ ยาพวก
- Lipitor
- Mevacor
- Zocor
- Pravachol
ยาเหล่านี้เข้าไปขัดขวางกระบวนการทางชีวบำบัดประมาณ
20 อย่างในร่างกาย ยาสามารถเข้า
ไป ลดคลอเลสเตอรอลได้ แต่มันก็ทำให้ระดับโคคิว
10 ต่ำลงทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็ง
หากจำเป็นที่ต้องใช้ยานี้ก็ควรที่จะรับประทาน โคคิว 10 เสริมเข้าไปด้วยในปริมาณ
100 มก.
กลุ่มเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านม
หญิงหลังวัยหมดรอบเดือนเสี่ยงมากกว่า หญิงที่อ่อนวัยกว่า ผู้หญิงมีความเสี่ยงต่อมะเร็งที่
เต้านม การรับประทานอาหารมังสวิรัติ จะมีความเสี่ยง หากไม่ได้รับโคคิว 10 และแอ-คาร์นิทีน จากอาหารปกติอย่างเพียงพอ
เต้านม การรับประทานอาหารมังสวิรัติ จะมีความเสี่ยง หากไม่ได้รับโคคิว 10 และแอ-คาร์นิทีน จากอาหารปกติอย่างเพียงพอ
ปริมาณที่แนะนำ
โคคิว
10 นั้นมีความปลอดภัยและร่างกายสามารถทนทานได้
สามารถละลายได้ในไขมัน จึงควรรับประมาณไปพร้อมกับอาหาร
- ควรปรึกษาแพทย์หากรับยาโรคเบาหวานหรือยาลดความดันโลหิต เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผลข้าง เคียงในการใช้โคคิว 10
- รับประทานวิตามินบี 6 วันละ 25 – 100 มก. เพื่อเสริมให้เกิดการผลิตโคคิวมีมากขึ้น
- โรคเบาหวานปริมาณโดยเฉลี่ย 150 มก. วันละ 3 ครั้ง
- ปวดเค้นในอก 50 มก. วันละ 2 ครั้ง
- ปัญหากล้ามเนื้อ วันละ 100 – 150 มก.
- โรคฮันทิงตัน 300 มก. วันละ 2 ครั้ง
- โรคพาร์คินสัน 200 มก. วันละ 4 ครั้ง
- โรคหัวใจล้มเหลวเนื่องจากเลือดคั่ง 300 – 400 มก.
- โรคความดันโลหิตสูง 120 – 240 มก.
- ป้องกันไมโตคอนเดรียเสื่อมสภาพ 60 – 90 มก. ต่อวัน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น