Thai Language English Language

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Health Life 2 You - 3. TOP FOOD โยเกิร์ต 3 ถ้วย ช่วยลดพุง

3. TOP FOOD  โยเกิร์ต 3 ถ้วย ตัวช่วยลดพุง

   การค้นหาตัวช่วยลดน้ำหนักครั้งนี้เกิดขึ้นที่ มหาวิทยาลัยเทนเนสซี (University Of Tennessee) ประเทศสหรัฐสหรัฐอเมริกา

        นักวิจัยแบ่งอาสาสมัครร่างอ้วนออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้กินโยเกิร์ตไร้ไขมัน (Fat Free Yogurt) วันละ 3 ถ้วย ( 170 กรัม ) ได้รับแคลเซียมประมาณ 1,100 มิลลิกรัม ส่วนกลุ่มที่ 2 ให้กินอาหารชนิดอื่น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากนม ให้แคลเซียม 400 - 500 มิลิกรัมต่อวัน ทั้งนี้อาสาสมัครทั้งสองกลุ่มจะได้รับคำแนะนำให้กินอาหารลดพลังงานลงจากเดิม 500 กิโลแคลอรี

 

        เมื่อปรับเปลี่ยนอาหารครบ 12 สัปดาห์พบว่า กลุ่ม แรกที่กินโยเกิร์ตลดน้ำหนักได้มากกว่าอีกกลุ่ม 22 เปอร์เซ็นต์ ลดไขมันในร่างกายมากกว่า 61 เปอร์เซ็นต์ และลดไขมันบริเวณหน้าท้องมากกว่าถึง 81 เปอร์เซ็นต์
 
        ตุณหมอมิเซล  เซเมล ผู้วิจัย กล่าวว่า "นอกจากโยเกริร์ตจะช่วยให้น้ำหนักลดลงเฉลี่ย 6.35 กิโลกรัม ยังสมารถรักษามวลกล้ามเนื้อให้คงอยุู่ มากกว่าอีกกลุ่มถึง 2 เท่า ทำให้ภายหลังการลดน้ำหนักระบบเผาผลาญพลังงานยังคงทำงานได้ดี" 

 
       "การศึกษานี้ช่วยยืนยันผลการศึกษาที่ผ่านมาว่าแคลเซียมและโปรตีนที่มีอยู่ในโยเกิร์ตช่วยเผาผลาญไขมันและน้ำหนักได้ แต่อย่างไรก็ตาม ควรมีการศึกษาเพิ่มเติมถึงกลไกการเผาผลาญไขมันของอาหารดังกล่าวต่อไป"

 
        ผู้หญิงกับความงามเป็นเรื่อง คู่กัน หลายคนยอมทุ่มทุนทั้งแรงกายและแรงใจ เพื่อรังสรรค์ความงามทั้งใบหน้าและรูปร่าง แต่ปัญหาหนึ่งที่กวนใจสาวๆ มาทุกยุคทุกสมัย จนกระทั่งทุกวันนี้ก็คือ ปัญหาการมีหน้าท้องด้วยเหตุนี้บริษัท ดานอน แดรี่ ประเทศไทย จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านโยเกิร์ตระดับโลก ภายใต้ แบรนด์แอคทีเวีย จึงได้จัดงาน เสวนา ไขความลับปัญหาหน้าท้องเรื่องของสาวๆภายใต้บรรยากาศแบบชิลๆ ตามคอนเซปต์ซีเครต การ์เด้น
 

 

        ผศ. รศ. เรวดี จงสุวัฒน์ หัวหน้าภาควิชาโภชนาวิทยา สาธารณสุขศาสาตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การที่ผู้หญิงมีหน้าท้องกันส่วนใหญ่นั้น ต้องมาจำแนกกันก่อนว่า แต่ละคนมีสาเหตุจากอะไร หากเกิดจากความอ้วน หน้าท้องจะยื่นตั้งแต่เหนือสะดือลงมาจนถึงท้องน้อย และส่วนอื่นๆ ของร่างกายก็จะใหญ่ไปด้วย หน้าท้องที่เกิดจากความอ้วน จะลดยากหน่อย โดยต้องอาศัยเวลาในปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตพร้อมกันหลายอย่างไม่ว่าอาหารการ กิน การออกกำลังกาย

       “สาเหตุที่สองของปัญหาหน้าท้อง คือ เกิดจากอาการท้องอืด ซึ่งเป็นผลมาจากระบบขับถ่ายไม่เป็นปกติ ลักษณะคือเฉพาะพุงส่วนล่าง คือตรงท้องน้อย จะยื่นออกมา ใส่ชุดอะไรก็ไม่สวย และมักจะมีความรู้สึกอืดแน่นท้องร่วมด้วย เรียกได้ว่า


ภายนอกก็ไม่สวย ภายในก็ไม่สบาย พาลให้เสียความมั่นใจ และหงุดหงิดอย่างมากค่ะ
       “หากความรู้สึกท้องอืดเกิดจากระบบขับถ่ายไม่เป็นปกติ สบายใจได้อย่างหนึ่งว่าแก้ไขได้ไม่ยาก ล่าสุดมีงานวิจัยระดับโลกสนับสนุนว่าโยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์แอคทิเรกูราลิส ซึ่งเป็นโพรไบโอติกลิขสิทธิ์เฉพาะของดานอนที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ ช่วยปรับสมดุลทั้ง ระบบขับถ่ายให้ดีขึ้น โดยเมื่อรับประทานแล้วจะรู้สึกได้ถึงความสบายครบ 4 ประการจากการที่ระบบขับถ่ายดีขึ้น คือ 1. ไม่รู้สึกปวดแน่นท้อง 2. ไม่มีลมในท้อง 3. ท้องไม่อืดบวมและไม่รู้สึกอึดอัดท้อง 4. ขับถ่ายปกติ วันละ 1-2 ครั้ง

       นอกจากนี้งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และคลินิกยังระบุว่า โยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์แอคทิเรกูราลิส ช่วยทำให้ เส้นรอบเอวที่เพิ่มขึ้นจากอาการท้องอืดลดลงได้ถึงร้อยละ 77 หากรับประทานเป็นประจำ 

 
 
       “ขอยกตัวอย่างตัวอาจารย์เอง อาจารย์มีรอบเอวปกติอยู่ที่ 28 นิ้ว หรือ 70 ซม แต่เมื่อท้องอืด ส่วนท้องน้อยจะขยายออกอีกประมาณ 3 ซม เป็น แต่หากรับประทานโยเกิร์ตสุขภาพที่มีจุลินทรีย์แอคทิเรกูราลิสเป็นประจำ ส่วนที่เพิ่มขึ้นจากอาการท้องอืดจะลดลง 77% นั่นหมายถึงแทนที่จะเพิ่มรอบเอวจะเพิ่มขึ้นมา 3 ซม มันจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.69 ซม เท่านั้น กลายเป็นว่าเอวของอาจารย์จะอยู่ที่ 70.69 ซม. แทนที่จะเป็น 73 ซม. จะเห็นว่าส่วนต่างอยู่ที่ 2.31 ซม. เรียกได้ว่าลดไปเลยประมาณ 1 นิ้ว หรือลดไซส์กระโปรงได้เลยค่ะผศ.ดร. เรวดีกล่าวเสริม

       นอกจากดูแลตัวเองเรื่องการกินแล้ว เพื่อให้ระบบขับถ่ายดีแล้ว อาจารย์ยังได้แนะนำท่าโยคะง่ายๆ เพื่อช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายอีกด้วย ได้แก่ท่า วักราสนะ(ท่าบิดสันหลัง-Twisting Pose) ท่าธนูราสนะ (ท่าธนู-Bow pose) ท่าโยคะมุทรา (สัญลักษณ์โยคะแบบประยุกต์) และท่าปริวิตตะ ตรีโกณาสนะ (ท่าสามเหลี่ยมกลับด้าน) ซึ่งแต่ละท่าสามารถช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายได้เป็นอย่างดี

       สาวๆ รู้แบบนี้แล้วลงมือจัดการกับปัญหาหน้าท้องกันได้เลย

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Health Life 2 You - 3. Top Food อัลมอนด์ ไขมันดี เสริมสร้างกล้ามเนื้อ

3. Top Food  อัลมอนด์ ไขมันดี เสริมสร้างกล้ามเนื้อ

        บ่อยครั้งการลดน้ำหนักที่ควบคุมปริมาณอาหารดดยขาดการออกกำลังกาย จะทำให้ร่างกายสลายทั้งกล้ามเนื้อและไขมันไปพร้อมกัน ส่งผลให้การลดน้ำหนักในช่วงแรกลดลงอย่างรวดเร้ว แต่เมื่อเวลาผ่านไป การลดน้ำหนักในระยะต่อมากลับทำได้ยากขึ้น เพราะปริมาณกล้ามเนื้อซึ่งเป็นแหล่งเผาผลาญพลังงานลดลง ระบบเผาผลาญจึงลดลงตาม

        อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าของขบเคี้ยว บางชนิดที่มีปริมาณกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูง เช่น อัลมอนต์ สามารถช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อขณะลดน้ำหนักได้

        พิสูจน์จาก Journal of Nutrition  ที่รายงานว่า การกินอาหารที่มีส่วนประกอบของกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูงเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์ ช่วยให้ไขมันในร่างกายลดลง พร้อมรักษามวลกล้ามเนื้อ ทำให้ระบบเผาผลาญยังคงทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

        นอกจากนี้เมื่อทดลองให้อาสาสมัครกินอาหารที่มีอัลมอนด์เป็นส่วนประกอบ เปรียบเทียบกับอาหารที่มีส่วนประกอบของคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน (Complex carbohydrates) เช่น ขนมปังโฮลวีต ข้าวกล้องในชุดอาหาร ควบคุมพลังงาน เป็นระยะเวลา 6 เดือน Internatiolal Journal of Obesity and Related Metabolic Disorders ระบุว่า อาหารทั้งสองชนิดช่วยให้อาสาสมัครมีน้ำหนักลดลง แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือ อาหารที่มีอัลมอนด์เป็นส่วนประกอบสามารถลดปริมาณไขมันในร่างกายได้มากกว่า

        แม้มีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า กินอัลมอนด์ร่วมกับควบคุมปริมาณอาหารจะสามารถเพิ่มระบบเผาผลาญและลดน้ำหนักได้ แต่อัลมอนด์ก็ให้พลังงานเช่นเดียวกับอาหารอื่นๆ หากกินมากเกินไปก็อาจทำให้อ้วนได้

        ฉะนั้น อาจารย์ศัลยา  คงสมบูรณ์เวช อาจาย์พิเศษคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาลัยมหิดล จึงแนะนำในหนังสือ กินอย่างไร ไม่อ้วน ไม่มีโรค ว่า อาหารประเภทถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ ควรกินไม่เกินวันละ 30 กรัม โดยเลือกกินอัลมอนด์ 23 เม็ด อัลมอนด์สไลซ์ครึ่งถ้วยตวง หรืออัลมอนด์เนย 2 ซ้อนโต๊ะ อย่างใดอย่างหนึ่ง

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของอัลมอนด์

         อัลมอนด์ เมล็ดถั่วธัญพืชที่ใครหลาย ๆ คนชอบทานกันอย่างมากเพราะเคี้ยวเพลินกินมันแต่ราคายังค่อนค้างแพงอยู่มาก แต่ถึงกระนั้นก็เถอะค่ะประโยชน์ของอัลมอนด์และสรรพคุณของอัลมอนด์นั้น มีมากมายอย่างที่คุณอาจจะคาดไม่ถึงกันเลยทีเดียวค่ะ แล้วยิ่งทานอัลมอนด์กับช็อกโกแลตด้วยแล้วอร่อยอย่าบอกใครเลยค่ะ แต่ ประโยชน์ของอัลมอนด์ ไม่ได้มีเพียงเท่านี้หรอกนะค่ะ ประโยชน์ของอัลมอนด์ มีมากกว่านี้นั้นเรามาทำความเข้าใจในเรื่องของ ประโยชน์ของอัลมอนด์ และ สรรพคุณของอัลมอนด์ กันให้มากขึ้นกันเลยดีกว่าค่ะ

สรรพคุณ / ประโยชน์ของอัลมอนด์

         "อัลมอนด์" เป็นถั่วประเภท Tree Nut ซึ่งถูกจัดให้เป็น 1 ใน 10 สุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะมีคุณประโยชน์มากมาย ในเมล็ดอัลมอนด์อุดมไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายประกอบไปด้วยกรดไขมัน ไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ซึ่งช่วยเพิ่มระดับ HDL (High-Density Lipoproteins) หรือไขมันดีและช่วยลดระดับ LDL (Low-Density Lipoproteins) หรือไขมันเลว

        ทั้ง HDL และ LDL จะเป็นตัวพาคอเลสเตอรอลเคลื่อนที่ไปตามกระแสเลือด หากร่างกายมี LDL หรือไขมันเลวมากคอเลสเตอรอลจะเคลื่อนที่ลำบากและจะสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือด โดยเฉพาะเส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงหัวใจและสมองซึ่งถ้ามันไปรวมตัวกับสารอื่น อาจเกิดเป็นลิ่มไขมันทำให้หลอดเลือดตีบตันขัดขวางการไหลเวียนของกระแสเลือด ได้ หากเส้นเลือดตีบตันที่หัวใจอาจทำให้เกิดโรคหัวใจและหากเส้นเลือดตีบตันที่ สมองอาจทำให้เป็นอัมพาตได้ แต่ถ้าร่างกายเรามีไขมันดีหรือ HDL มากกว่า ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจเพราะ HDL จะช่วยให้คอเลสเตอรอลเคลื่อนที่ได้ดี ทำให้คอเลสเตอรอลหลุดออกจากผนังหลอดเลือดและส่งไปยังตับเพื่อกำจัดออก จากร่างกายได้ง่ายกว่า


     
        ผลการวิจัยจากสถาบันชั้นนำทั้งในยุโรปและอเมริกาพบว่า ถ้ารับประทานอัลมอนด์เพียงวันละ 1 หยิบมือ ช่วยลด LDL ได้ถึง 4.4% และถ้ารับประทาน 2 หยิบมือต่อวันช่วยลด LDL ได้ถึง 9.4% รวมไปถึงผลวิจัยจาก Nation Cholesterol Education Program ก็รายงานผลออกมาในรูปแบบเดียวกัน โดยให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานอาหารที่มีและไม่มีอัลมอนด์ประกอบอยู่พบว่าใน กลุ่มที่มีการบริโภคอัลมอนด์มากขึ้น ระดับ LDL ก็จะลดลง และระดับ HDL ก็เพิ่มขึ้นด้วย

        นอกจากนี้ยังมีการศึกษาให้กลุ่มตัวอย่างรับประทานอัลมอนด์เป็นอาหารเสริม เป็นเวลา 1 ปี โดย 6 เดือนแรกให้รับประทานอาหารตามปกติ และ 6 เดือนหลังให้รับประทานอัลมอนด์ในช่วงระหว่างมื้ออาหารประมาณ 52 กรัมต่อวัน เปรียบเทียบกันพบว่า กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อนเพิ่มขึ้น กรดไขมันอิ่มตัวลดลง คอเลสเตอรอลและน้ำตาลลดลง จึงส่งผลโดยตรงในการช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและเบาหวาน ได้ถึง 30-50%

        อัลมอนด์ยังอุดมไปด้วยไยอาหาร โปรตีน วิตามินบี วิตามินอี และโอเมก้า3 ซึ่งจำเป็นสำหรับการเสริมสร้างเซลล์ที่สึกหรอของผิวหนัง เส้นผม ทั้งยังช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัย ไยอาหารยังช่วยลดความเสี่ยงตากมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก First Magazine ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Health Life 2 You - 2.. TOP FOOD ชาเขียวช่วยสลายไขมัน

2. Top Food ชาเขียวช่วยสลายไขมัน

        ด้วยความสงสัยว่า ชาเขียวมีสรรพคุณตามคำโฆษณาจริงหรือไม่ จึงสืบค้นข้อมูลจาก หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ทำให้พบงานวิจัย ซึ่งศึกษาในคนไทย 60 คน น้ำหนักตัวเฉลี่ย 72 กิโลกรัม

       นักวิจัยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก ให้รับประทานสารสกัดใบชาเขียว 1 แคปซูล ซึ่งมีส่วนประกอบหลักคือ สาร EGCG (Epigallocatechin Gallate) เป็นสารกลุ่มพอลิฟินอลที่มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ปริมาณ 33.58 มิลลิกรัม หลังอาหาร 3 มื้อ ส่วนกลุ่มที่ 2  ให้กินยาหลอก (Placebo) ซึ่งไม่มีส่วนผสมของสารสกัดใบชาเขียว

        หลัง 12 สัปดาห์พบว่า กลุ่มที่กินสารสกัดใบชาเขียวมีน้ำหนักลดลงมากกว่ากลุ่มที่ 2 อย่างชัดเจนประมาณ 3 - 5  กิโลกรัม

        การศึกษานี้สรุปว่า การได้รับสารสกัดใบชาเขียว ที่มี สาร EGCG วันละประมาณ 100 มิลลิกรัม สามารถเพิ่มการใช้พลังงานและเพิ่มการเผาผลาญไขมัน จนมีผลทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้

        สอดคล้องกับงานวิจัยจากต่างประเทศ เช่น มหาวิทยาลัยศูนย์การแพทย์แมริแลนด์ (University of Maryland Medical Center) ประเทศสหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์ผลงานวิจัยยืนยันว่า สารสกัดใบชาเขียวช่วยเพิ่มระบบเผาผลาญ สลายไขมันได้ แต่อย่างไรก็ตามสำหรับการดื่มน้ำชาเขียวยังไม่มีผลการศึกษาชัดเจน

        คุณแบร์รี่ โวฟ-แรดบิลล์ นักกำหนดอาหารผู้เชี่ยวชาญด้าน การลดน้ำหนัก จากวิทยาลัยแพทยศาสตร์สาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (New Yerk University School of Medicine) ประเทสสหรัฐอเมริกา  มีความเห็นว่า

         "ยังไม่มีความชัดเจนถึงปริมาณน้ำชาเขียวที่ควรดื่มเพื่อช่วยเพิ่มระบบเผาผลาญจนนำไปสู่การลดน้ำหนัก

        "แม้การดื่มหลายแก้วตลอดวันอาจช่วยเพิ่มระบบเผาผลาญไม่มาก แต่เครื่องดื่มชาเขียวก็นับว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านอื่นๆ เช่น ป้องกันโรคจากความเสื่อมและชลอความชรา"

        คุณแบรี่สรุปว่า การเพิ่มการเผาผลาญที่ให้ผลดีกว่า คือการออกกำลังเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ กินอาหารพลังงานต่ำ และทำกิจกรรมที่ได้เคลื่อนไหวร่างกายสม่ำเสมอ

- ประโยชน์ของการดื่มชา 

          ตั้งแต่หนังสือพิมพ์ลงข่าวเรื่องดื่มชาเขียวสามารถป้องกันโรคมะเร็งได้ ผู้คนก็แตกตื่นหันมาดื่มชาญี่ปุ่นกันใหญ่ เพราะเข้าใจว่าชาเขียวคือชาญี่ปุ่น จริงๆ แล้วชาเขียว คือ ชาทุกชนิดที่ผลิตโดยการเอาใบชาสดมาคั่วให้แห้งโดยไม่ผ่านขั้นตอนการทำปฏิกิริยาของออกซิเจนกับใบชา ในชาเขียวจะมี สารคาเทชิน อยู่มากกว่าชาชนิดอื่น ดังนั้นคุณสมบัติในการป้องกันมะเร็งจึงอยู่ตรงนี้

          ในทางการแพทย์ ใบชาจะมีคุณสมบัติทางเคมีบางประการซึ่งในจำนวนนั้นจะมี กรดแทนนิค ปริมาณ 20 – 30 % กรดแทนนิค มีคุณสมบัติต่อต้านการอักเสบและการติดเชื้อ นอกจากนี้ยังมีสารอัลคาลอยด์ 5% (ส่วนใหญ่จะเป็นคาเฟอีน) ซึ่งมีคุณสมบัติกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลางและระบบเมตาบอลิซึ่ม

          ชาที่มีกลิ่นหอมจะมีคุณสมบัติในการแยกองค์ประกอบของเนื้อและไขมัน ดังนั้นจึงมีส่วนช่วยเรื่องการย่อยอาหารในจีนจะมีสำนวนพูดกันติดปากว่า "ขาดเกลือสามวันยังดีกว่าขาดชาหนึ่งวัน"

          ไม่ว่าจะเป็นชารูปแบบใด ความนิยมเรื่องดื่มชามีมากขึ้นทุกวัน เพราะรสชาตินุ่มนวลชวนฝันของชาประการหนึ่ง และข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าชามีสารพฤกษเคมีบางชนิดที่ออกฤทธิ์ป้องกันโรคหลายโรคได้เป็นอีกประการหนึ่ง อีกทั้งชาก็เป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีชนชั้น ผู้ดื่มเท่านั้นที่รู้รสชาติของการดื่ม และผู้มีรสนิยมต่างเลือกชาและโปรดการดื่มชา 

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Health Life 2 You - 1. Top Food ยิ่งกินข้าวยิ่งผอม

1. Top Food ยิ่งกินข้าวยิ่งผอม

        เพราะมีงานวิจัยพิสุจน์แลัวว่า อาหารที่ผลิตจากธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง นอกจากไม่ทำให้อ้วน ยังช่วยลดไขมันบริเวณหน้าท้องและลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจอีกด้วย

        มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียสเตต (Pennsylvania State University) ประเทศสหรัฐอเมริกา ทดลองกับอาสาสมัครร่างอ้วน ซึ่งมีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและโรคเบาหวาน จำนวน 50 คน นักวิจัยให้กลุ่มแรกกินอาหารควบคุมพลังงานที่ผลิตจากธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮสวีต และซีเรียลชนิดไม่ขัดสี ส่วนอีกกลุ่มกินอาหารควบคุมพลังงานที่ผลิตจากข้าวและขนมปังขัดขาว

        ผลปรากฏว่า ผู้กินอาหารที่มีส่วนประกอบของธัญพืชไม่ขัดสีสามารถลดปริมาณไขมันที่สะสมบริเวณหน้าท้องได้มากกว่า ทั้งพบว่ามีระดับ C-reactive protein (โปรตีนแสดงการอักเสบในร่างกาย มีผลเชื่อมโยงไปสู่การเกิดโรคหัวใจในอนาคต) ในเลือดลดลงถึง 38 เปอร์เซนต์

        นอกจากกินข้าวหรือแป้งไม่ขัดสีเป็นประจำ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์แปรรูปที่มีส่วนประกอบของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง (Brown Rice) ข้าวโอ๊ต (Whole Oats) ข้าวสาลี (Bulgur) ข้าวป่า (Wild Rice) โดยส่วนประกอบสำคัญเหล่านี้ ควรปรากฎเป็นลำดับแรกบนฉลากอาหาร เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีปริมาณมากที่สุดในผลิตภัณฑ์

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของข้าวกล้อง

        สรรพคุณของข้าวกล้องและประโยชน์ของข้าวกล้องนั้น มีมากมายแต่จะมีสักกี่คนที่รู้ถึง สรรพคุณของข้าวกล้อง และ ประโยชน์ของข้าวกล้อง แต่สมัยปัจจุบันนี้คนส่วนใหญ่หันมาห่วงและรักษาสุขภาพกันมากยิ่งขึ้น แน่นอนค่ะว่าการบริโภคข้าวกล้องก็ย่อมมีมากตามขึ้นไปอีกด้วยค่ะ และวันนี้เราก็มีสรรพคุณของข้าวกล้อง และ ประโยชน์ของข้าวกล้อง มาฝากคุณ ๆ ผู้รักสุขภาพกันด้วยนะค่ะ แม้ว่ารสชาติของข้าวกล้องจะไม่อร่อยเท่ากับข้าวปกติแต่ขอบอกว่าคุณค่าและสาร อาหารที่ได้รับก็แตกต่างกันด้วยนะค่ะ 


สรรพคุณ / ประโยชน์ของข้าวกล้อง

        ข้าวกล้อง เป็นข้าวพันธุ์ใดก็ได้ที่ขัดสีเพียงครั้งเดียวทำให้ยังคงมีจมูกข้าวและเยื่อ หุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่มาก ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี่เองที่ทำให้กล้องมีคุณประโยชน์พิเศษ คือ นอกจากจะมีคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมันอิ่มตัวแล้ว ยังมีสารอาหารเหล่านี้อยู่สูงอีกด้วย

- วิตามินบี 1 ช่วยป้องกันโรคเหน็บชาและช่วยในการทำงานของระบบประสาทในการบังคับกล้ามเนื้อ

- วิตามินบี 2 ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอกและช่วยในการเผาผลาญอาหาร

- ไนอะซิน ช่วยในการทำงานของระบบผิวหนังและระบบประสาท

- แคลเซียม ฟอสฟอรัส ที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของกระดูกและเหล็กซึ่งช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบเลือด

- เส้นใยอาหาร ทำให้ขับถ่ายสะดวกและป้องกันการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ชีวจิต ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Health Life 2 You - 6 Top Food ยิ่งกินยิ่งผอม

6 Top Food  ยิ่งกินยิ่งผอม

  “ขอชวนมาลดความอ้วนด้วยการกิน!ไม่ใช่เรื่องชวนเชื่อหรือแนวความคิดที่ผิดแต่อย่างใด เราจะชวนคุณมากินอาหารที่มีกากใย เพราะมันไม่ได้ช่วยให้คุณผอมลงเพียงอย่างเดียว แต่ยังแถมสุขภาพที่ดีให้คุณอีกด้วย เรียกว่าเป็นโชคสองต่อเลยก็ว่าได้ ว่าแล้วก็มาทำความรู้จักกับกากใยอาหารกันดีกว่า

      “ใยอาหารหรือไฟเบอร์ส่วนประกอบของพืชที่ประกอบไปด้วยโมเลกุลของน้ำตาลมาต่อกันอย่างซับซ้อน ซึ่งเป็นส่วนที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้ แต่สามารถถูกย่อยได้โดยแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ ใยอาหารสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดด้วยกันคือ ชนิดที่ละลายน้ำได้ และชนิดที่ไม่ละลายน้ำ ซึ่งชนิดที่ละลายน้ำได้มักพบใน ผลไม้ทั้งผล ข้าวโอ๊ต และถั่ว ส่วนชนิดที่ไม่ละลายน้ำจะพบได้ในข้าวซ้อมมือ และผักต่างๆ

      ด้วยคุณลักษณะพิเศษที่เป็นโครงสร้างของพืช ซึ่งร่างกายคนเราไม่สามารถย่อยสลายได้ จึงอาจทำให้การรับประทานใยอาหาร ฟังดูแล้วไม่น่าจะเกิดประโยชน์อะไรต่อร่างกายของคนเรา แต่ด้วยคุณลักษณะดังกล่าวนี้เอง ที่กลับเป็นคุณูปการอย่างยิ่งต่อระบบขับถ่าย เพราะ กากใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำนั้น จะช่วยให้ระบบทางเดินอาหารเคลื่อนไหวได้ดี ส่งผลให้สามารถขับถ่ายได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยขจัดของเสียที่สะสมอยู่ในระบบทางเดินอาหารได้ ซึ่งเท่ากับเป็นการลดโอกาสการดูดซึมสารพิษเข้าสู่ร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่ายและโรคมะเร็งลำไส้ ใหญ่ลงได้

      ผลจากงานวิจัยพบว่า ใย อาหารชนิดละลายน้ำได้ ยังช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เพราะใยอาหารเป็นตัวช่วยลดการใช้ปริมาณอินซูลินในการรักษาระดับน้ำตาลใน เลือดให้พอเหมาะ ทำให้ไม่เกิดปัญหาการหลั่งอินซูลินมากเกินไปจนมีการสะสมของไขมันเพิ่มมาก ขึ้น เพราะเมื่อร่างกายสะสมไขมันไว้ในปริมาณมากๆเข้า ก็เท่ากับว่าเป็นการลดความสามารถในการเผาผลาญอาหาร และพลังงานในร่างกาย ซึ่งท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นปัญหาเรื่องความอ้วนตามมา

      ด้วยเหตุที่ใยอาหารเป็นสิ่งที่ร่างกายคนเราไม่สามารถย่อยสลายได้ จึงทำให้ใยอาหารเหล่านี้เข้าไปขอแบ่งปันพื้นที่ในระบบทางเดินอาหารทำให้ร่าง กายรู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มนาน ช่วยยืดความอยากอาหารในครั้งต่อไปให้นานขึ้น อีกทั้งร่างกายเราไม่สามารถย่อยได้ จึงไม่ให้พลังงาน หรือให้พลังงานน้อยมากจากการย่อยของจุลินทรีย์ ดัง นั้น การกินอาหารที่มีใยอาหารในปริมาณที่เหมาะสมเป็นประจำจึงสามารถช่วยทำให้ น้ำหนักลดลงในระยะยาว ซึ่งเท่ากับเป็นการลดความอ้วนให้กับผู้ที่มีปัญหาเรื่องไขมันส่วนเกินได้ เป็นอย่างดี

     ข้อแนะนำง่ายๆ ในการลดความอ้วนด้วยการรับประทานอาหารที่มีใยอาหารคือ

      - เปลี่ยนการบริโภคอาหารประเภทแป้งที่มีสีขาวไปเป็นแป้งน้ำตาล อาทิ ข้าวขาวเป็นข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ ขนมปังขาวเป็นขนมปังโฮลวีทหรือธัญพืช
 
      - เพิ่มการบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของธัญพืช หรือเครื่องดื่มที่ระบุว่ามีใยอาหาร เช่น เริ่มมื้อเช้าด้วยธัญพืชเต็มเมล็ดอบกรอบกับนมไขมันต่ำ ชิวๆเวลาว่างด้วยเครื่องดื่มโกโก้หรือกาแฟที่มีใยอาหาร แต่มีน้ำตาลน้อย รองท้องก่อนนอนด้วยเครื่องดื่มนมผสมธัญพืช เป็นต้น
 
      - จัดให้อาหารทุกมื้อต้องมีผักประมาณ 2 ทัพพี และตบท้ายด้วยผลไม้เป็นของหวาน

       สุขภาพ ที่ดีสร้างได้ด้วยอาหารกากๆ ที่ไม่ใช่แค่เพียงมีคุณประโยชน์ต่อระบบต่างๆของร่างกาย แต่ยังเป็นวิธีลดความอ้วนง่ายๆ ที่ไม่เป็นภัยต่อสุขภาพ ทั้งนี้ควรทำควบคู่ไปกับการรับประทานให้หลากหลายในปริมาณที่พอเหมาะ และออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อการเป็นเจ้าของรูปร่างที่สมส่วนแข็งแรงในแบบที่คุณปรารถนา

วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Health Life 2 You - ทำไมโกร๊ธฮอร์โมนจึงเป็นยาวิเศษของคนทำงาน

Ask Guru Satis!   ทำไมโกร๊ธฮอร์โมนจึงเป็นยาวิเศษของคนทำงาน

        อาจารย์สาทิส  อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต กล่าวถึงความสำคัญของโกร๊ธฮอร์โมนว่า "เป็นตัวควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกายและกระตุ้นให้ภูมิชีวิต (Immune System) ทำงาน"

        จุดเริ่มต้นมาจากการที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ขับโกร๊ธฮอร์โมนรีลีสชิงฮอร์โมน (GHRH : Growthhormone - Releasing Hormone) ไปยังต่อมพิทูอิทารี จากนั้นจึงกระตุ้นให้เกิดการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมนออกมา

        โกร๊ธฮอร์โมนออกฤทธิ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยผ่านสารกระตุ้นการเจริญเติบโตที่ม่โครงสร้างคล้ายอินชูลิน (IGF-1) จึงมีประโยชน์ตั้งแต่หัวจรดเท้า

        ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความเติบโตส่วนที่สึกหรอของกระดูกและกล้ามเนื้อ รักษาบาดแผลทั้งภายในและภายนอก กระตุ้นการแตกตัวของโปรตีน กระตุ้นการเผาผลาญไขมัน เพิ่มระดับกลูโคสในเลือด ช่วยเผาผลาญแร่ธาตุๆ ให้สมบูรณ์กลายเป็นส่วนประกอบสำคัญของเลือด ลดการใช้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตเพื่อเอาไว้ใช้เป็นพลังงานสำรอง และรักษาความยือหยุ่นของเส้นเอ็นและกระดูกอ่อน

        ทว่าเมื่อคนเราเจริญเติบโตเต็ม
ที่ (อายุประมาณ 20-25 ปี) ร่างกายจะเริ่มขี้เหนียว ค่อยๆ ผลิตโกร๊ธฮอร์โมนลดลงอย่างต่อเนื่อง คาดกันว่าทุกๆ 10 ปี การหลั่งจะลดลงประมาณร้อยละ 15 จนกว่าจะหมดไปเมื่อถึงวัยสุงอายุ แต่บางคนโชคร้ายหยุดหลั่งเสียดื้อๆ เมื่ออายุ 50 ปี

        ถ้ายิ่งใช้ชีวิตอย่างไม่สมดุลด้วยแล้วทั้งกิน นอน พักผ่อน ออกกำลังกายและทำงาน ก็ยิ่งเร่งให้การสร้างโกร๊ธฮอร์โมนขาดสมดุล จึงต้องโบกมือลาไปอย่างรวดเร็วกว่าเดิม ส่งผลให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ไม่แข็งแรงเหมือนเก่า หรืออายุสั้น

Did You Know?  โกร๊ธฮอร์โมนไม่สมดุลทำป่วย

        กรณีที่ร่างกายผลิตโกร๊ธฮอร์โมนผิดปกติอาจก่อให้เกิดอาการต่อไปนี้

        -  ภาวะโกร๊ธฮอร์โมนพร่อง มีเนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง มวลไขมันเพิ่มขึ้น มวลกล้ามเนื้อลดลง

        -  ภาวะโกร๊ธฮอร์โมนเกิน ผิวหนังหนา ฟันห่าง คางยื่น ริมฝีปากหนา ลิ้นคับปาก มือ เท้า และนิ้วโต ความดันโลหิตสูง มีภาวะดื้ออินชูลิน เป็นต้น  

ข้อมูล/ภาพ : apexprofoundbeauty.com

โกรทฮอร์โมน growth hormone (GH) ทำหน้าที่อะไร

โกรทฮอร์โมนเกี่ยวข้องกับการควบคุมขบวนการต่างๆ ในร่างกายการเจริญเติบโตของร่างกาย รวมทั้งกระบวนการเมตะบอลิสซึมในร่างกาย เป็นที่ทราบกันดีในขณะนี้ว่าผลที่เกิดจากโกรทฮอร์โมนในร่างกายมีสองชนิด ชนิดแรก เป็นผลโดยตรง และชนิดที่สอง เป็นผลทางอ้อม

 - ผลโดยตรง เกิดจากการที่โกรทฮอร์โมนไปจับกับตัวรับบนเซลล์เป้าหมาย ยกตังอย่างเช่น เซลล์เป้าหมายเป็นเซลล์ไขมัน เซลล์ไขมันจะมีตัวรับ โกรทฮอร์โมนจะกระตุ้นให้เกิดการสลายไขมันชนิด ไตรกลีเซอไรด์ และยับยั้งการสะสมไขมันที่ล่องลอยอยู่ในกระแสเลือด

- ผลทางอ้อม เกิดขึ้นผ่านทางสารอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า 'สารกระตุ้นเจริญเติบโตที่คล้ายอินซูลิน' หรือ insulin-like growth factor-I (IGF-I) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นจากตับ และเนื้อเยื่ออื่นๆ การสร้าง IGF-I เป็นผลจากโกรทฮอร์โมนโดยตรง ส่วนใหญ่แล้วผลของ
โกรทฮอร์โมนเกิดจาก IGF-I ออกฤทธิ์ที่เซลล์เป้าหมาย


ผลของ growth hormone ที่มีต่อกระบวนการเจริญเติบโต
         กระบวนการเจริญเติบโตของร่างกาย มีความสลับซับซ้อนหลายประการ และอาศัยการทำงานประสานสอดคล้องกันของฮอร์โมนหลายชนิด สำหรับบทบาทสำคัญของโกรทฮอร์โมนในการเจริญเติบโตของร่างกาย เป็นการกระตุ้นตับและเนื้อเยื่ออื่นๆ ให้สร้าง IGF-I

บทบาทของ insulin-like growth factor-I (IGF-I)
 

        เกิดจากการที่โกรทฮอร์โมนไปจับกับตัวรับบนเซลล์เป้าหมาย ยกตังอย่างเช่น เซลล์เป้าหมายเป็นเซลล์ไขมัน เซลล์ไขมันจะมีตัวรับ โกรทฮอร์โมนจะกระตุ้นให้เกิดการสลายไขมันชนิด ไตรกลีเซอไรด์ และยับยั้งการสะสมไขมันที่ล่องลอยอยู่ในกระแสเลือด
  1. IGF-I กระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์สร้างกระดูกอ่อน ทำให้เกิดการเจริญเติบโตของกระดูก ส่วน
    โกรทฮอร์โมนจะมีผลโดยตรงกระตุ้นให้เซลล์กระดูกอ่อนเกิดการพัฒนาจำแนกชนิดต่อไป ทำให้เกิดการเจริญเติบโตของกระดูก 
  2. IGF-I กระตุ้นให้มีการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ โดยกระตุ้นเซลล์มัยโอบลาสท์ให้แบ่งตัวเพื่อทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงและเพิ่มจำนวนเซลล์ นอกจากนี้ยังกระตุ้นการนำกรดอะมิโนมาใช้ และกระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีนในกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออื่นๆ อีกด้วย
ผลของ growth hormone ที่มีต่อกระบวนการเมตาบอลิสซึม
 
        ผลของโกรทฮอร์โมน ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการออกฤทธิ์โดยตรงของโกรทฮอร์โมนเอง หรือเป็นผลมาจาก IGF-Iก็ตาม ในบางกรณีอาจเป็นผลมาจากทั้งสองอย่างก็ได้


  1. ผลต่อโปรตีน พบ ว่าโกรทฮอร์โมนจะกระตุ้นการสังเคราะห์โปรตีน ลดปฏิกิริยาเผาผลาญโปรตีน และสามารถนำกรดอะมิโนมาใช้เพิ่มมากขึ้น โดยรวมถือเป็นการเพิ่มเมตาบอลิสซึมของโปรตีนในร่างกาย 
  2. ผลต่อไขมัน พบว่าโกรทฮอร์โมนมีฤทธิ์เพิ่มการใช้ไขมัน กระตุ้นการสลายตัวของไตรกลีเซอไรด์ และช่วยเร่งปฏิกิริยาภายในเซลล์ไขมันชนิดอะดิโปซัยท์
  3. ผลต่อคาร์โบไฮเดรต พบ ว่าโกรทฮอร์โมนเป็นฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลใน เลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยออกฤทธิ์ตรงข้ามกับฮอร์โมนอินซูลิน ตัวของมันเองยับยั้งฤทธิ์ของอินซูลินที่เนื้อเยื่อปลายทาง และยังกระตุ้นให้ตับสร้างกลูโคสออกมามากขึ้นอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม พบว่าเมื่อฉีดโกรทฮอร์โมนเข้าไปในร่างกาย จะทำให้การหลั่งฮอร์โมนอินซูลินเพิ่มมากขึ้น และระดับอินซูลินจะเพิ่มมากขึ้นด้วย

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Health Life 2 You - วิธีตรวจสอบจุดพีคจากการออกกำลังกาย

Lets Cheek!     แบบไหนเรียกว่า "พีค"

        การออกกำลังกายจนถึงจุดพีคสังเกตได้จาก      
                             
          - มีเหงื่อโชมกาย
          - หัวใจเต้นแรง
          - ชีพจรเต้นเร็วตั้งแต่ 100 - 120 ครั้งต่อนาที

  • ออกกำลังกายให้ถึงพีค   
        หลังจากเริ่มต้นออกกำลังกายไปแล้ว ระดับโกร๊ธฮอร์โมนจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 - 20 ทั้งยังสามารถหลั่งขณะออกกำลังกายได้นานมากกว่า 2 ชั่วโมงขึ้นไป

        แต่สิ่งสำคัญเพื่อให้ได้โกร๊ธฮอร์โมนมาครอบครอง อาจารญ์สาทิส อินทรกำแหง เสริมว่า

        "มีข้อแม้อยู่ว่า ต้องออกกำลังกายหรือทำกายบริหารให้จุดพีค (peak) ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 3 - 4 ครั้ง และแต่ละครั้งควรใช้เวลาต่อเนื่องอย่างต่ำ 20 - 30 นาที"

        "โดยเลือกออกกำลังกายด้วยวิธีไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นการรำกระบอง ว่ายน้ำ หรือโยคะ ยิ่งออกกำลังกายมากก็ยิ่งสดใส ไม่รู้สึกเหนื่อย"

        งานวิจัยโดยแผนกสรีรวิทยาการออกกำลังกาย สถาบันวิจัยเวชสศาสตร์สิ่งแวคล้อม แห่งกองทัพสหรัฐอเมริกา แนะวิธีบู๊สต์อย่างด่วนด้วยการออกกำลังกายประเภทใช้กล้ามเนื้อต้นขาและมีอุปกรณ์ เช่น พายเรือ ยกน้ำหนัก ย่อนั่งเก้าอี้ลม วิดพื้น เหล่านี้จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อได้ออกแรงจนถึงจุดพีคง่าย ซึ่งผ่านการพิสูจน์แล้วว่า ทำให้ปริมาณโกร๊ธฮอร์โมนหลั่งเพิ่มขึ้นหลายเท่า

        เป็นที่น่าสังเกตอีกว่า อุณหภูมิขณะออกกำลังกายก็มีอิทธิพลด้วย ดดยกลุ่มนักวิจัยจากคิงส์คอลเลจลอนดอน ประเทศอังกฤษ ศึกษาพบว่า

        การออกกำลังกายในที่อากาศเย็นทำให้โกร๊ธออร์โมนหลั่งปริมาณน้อยกว่าและช้ากว่าในอุณหภูมิห้อง เนื่องจากอุณหภูมิแกนกลางของร่างกาย ผอุณหภูมิที่วัดเมื่ออวัยวะภายในและระบบร่างกายทำงานในระดับที่เหมาะสม) ที่เอื้อต่อการหลั่งดกร๊ธฮอร์โมนลดลง

  • ปรับอารมณ์คิดบวก
        อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กล่าวว่า "จุดต่างๆ ในสมองส่วนไฮโปทาลามัส รับรู้ความชอบใจและไม่ชอบใจ หากเรารูสึกสบายใจหรือพอใจ (Pleasure Center) จากนั้นกระตุ้นต่อมพิทูอิทารี ดังนั้น การคิดด้านบวกจึงช่วยให้ไฮโปทาลามัสเริ่มต้นขับโกร๊ธออร์โมนได้"

        "ในทางตรงกันข้าม หากปล่อยให้เกิดความพอใจหรืออารมณ์ด้านลบ เช่น โกรธ เครียด เศร้า เสียใจ นอกจากโกร๊ธฮอร์โมนจะไม่ยอมหลั่ง ยังอาจได้ฮอร์โมนตัวร้ายอื่นๆ ออกมาแทนที่ เช่น อะดรีโนคอร์ติดคโทรปิกฮอร์โมน (Adrenocorticotropic Hormone : ฮอร์โมนที่มีผลต่อเซลล์สีผิว รากขน และระบบภูมิคุ้มกันผิวหนัง) แล้วไปทำลายภูมิชีวิตของคนทำงาน"

        ที่สำคัญ การคิดด้านบวกเพื่อสลายอารมณ์ด้านลบ โดยเฉพาะความเครียดไม่เพียงเสริมการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมน หากช่วยป้องกันไม่ให้ภูมิชีวิตถูกทำลายอีกต่อ

        ได้โกร๊ธฮอร์โมนหลั่งตลอดกาลไม่ว่างานยากลำบากแค่ไหน ก็แข็งแรงพร้อมลุยค่ะ

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Health Life 2 You - เทคนิคปลุกโกร๊ธฮอร์ฮอร์โมน

เทคนิคปลุกโกร๊ธฮอร์ฮอร์โมนสไตล์ชีวจิต

        แม้โกร๊ธฮอร์โมนหายจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่คนทำงานก็ไม่ต้องกลัวว่าต่อยกธงยอมแพ้ เพราะเราสามารถปลุกโกร๊ธฮอร์โมนด้วยตัวเองแบบไม่ฝืนธรรมชาติและมีความปลอดภัยได้ดังนี้ค่ะ
  •  กินอาหารชีวจิต    
         การกินอาหารจากธรรมชาติจะเป็นตัวกระตุ้นโกร๊ธฮอร์โมนที่ดีที่สุด โดย อาจารย์สาทิส  อินทรกำแหง กูรูด้านตำรับชีวจิต แนะนำว่าควรเป็นกลุ่มโปรตีน

        "ปกติเมื่อกินอาหารประเภทโปรตีนเข้าไป โปรตีนจะต้องแตกตัวออกเป็นแอมิโนแอซิดเพื่อการดูดซึม ในร่างกายเราจะมีอยู่  22 ชนิด และในจำนวนนี้มีชนิดที่จะกระตุ้นโกร๊ธฮอร์โมนได้โดยเฉพาะคือ ออร์นิทีน (Ornithine) อาร์จีนีน (Arginine) ทริปโตแฟน (Tryptophan) ไกลซีน (Glycine) และไทโรซีน (Tyrosine)"

        "นอกจากนั้นยังมีแร่ธาตุอีก 3 ตัว คือ แคลเซียม แมกนีเซียม และโพแทสเซียม และวิตามิน 5 ตัว คือ วิตามีนบี 6 ไนอะซิน (วิตามีนบี 3) วิตามินซี วิตามินอี และกรดแพนโทเทนิก (วิตามินบี 5)  ซึ่งเข้าสู่ร่างกายร่วมกับแอมิโนแอซิดแล้ว  จะช่วยกระตุ้นโกร๊ธฮอร์โมนได้เป็นอย่างดี"

         ทั้งหมดนี้ไม่ต้องไปหาที่ไหน เพราะอาจารย์แนะต่อว่า การกินอาหารตามสูตรชีวจิตอย่างเคร่งครัดจะได้รับทั้งกรดแอมิโน แร่ธาตุ และวิตามินเหล่านี้อย่างครบครัน

        ทั้งนี้ยังควรงดดื่มแอลกอฮอล์และกาแฟ ไม่กินอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลขัดขาวด้วย เนื่องจากจะไปรบกวนการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมน


  •   นอนหลับสนิทและหลับลึก
        แพทย์หญิงศรันยา กตัญญวงศ์  ประจำชีวจิตโฮมคลินิกกล่าวว่า

        "กลางคืนเป็นช่วงเวลาที่โกร๊ธฮอร์โมนหลั่งมากที่สุด โดยเฉพาะประมาณสามทุ่มและห้าทุ่ม และหลังจากหลับสนิทไปแล้ว 1 - 1 1/2 ชั่วโมง  ด้วยเหตุนี้จึงควรเข้านอนแต่หัวค่ำ"

        ในภาวะปกติ ขณะนอนหลับร่างกายจะหลั่งออร์โมนเมลาโทนินออกมาเพื่อให้หลับสบาย ยิ่งออร์โมนเมลาโทนินหลั่งดีและหลับลึกมากเท่าไร โกร๊ธฮอร์โมนให้ออกมาเช่นกัน

        สำหรับคนทำงานที่เดินทางบ่อยไม่ต้องกังวล เพราะร่างกายยังพอปรับตัวเองได้ โดยคุณหมอวิเวียนรายงานเพิ่มเติมไว้ว่า

        "ภาวะเจ็ตแล็ก (Jet Lag) ทำให้ระดับการหลั่งโกร๊ธฮอร์โมนมากที่สุดสูงขึ้นจากเดิม ทั้งตอนกลางวันและกลางคืน ส่งผลให้ในรอบหนึ่งวันร่างกายสามารถหลั่งดกร๊กออร์โมนมากขึ้นชั่วคราว ภาวะเจ็ตแลกยังเปลี่ยนช่วงเวลาที่โกร๊ธฮอร์โมนหลั่งมากที่สุดจากตอนเข้านอนเร้วเป็นเข้านอนช้า"

        ผู้เชียวชาญด้านผิวหนังยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ผลดีจากการหลับสนิททำให้โกร๊ธฮอร์โมนที่หลั่งออกมาไปกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมผิว ส่งผลให้ชั้นผิวหนังหนาขึ้นและยืดหยุ่นดี จึงช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอย
     
Lets do!   คลายเกร็งหลับลึกเพิ่มโกร๊ธฮอร์โมน

        ไลฟ์สไตล์คนทำงานอาจก่อความเครียดจนร่างกายมีอาการปวดเกร็ง นอนไม่หลับ ชีวจิต มีสูตรช่วยหลับสบายได้โกร๊ธฮอร์โมนเต็มที่ ด้วยการฝึกคลายเกร้งร่างกาย (Relaxation) ก่อนนอนค่ะ

        1. นอนราบกับพื้น (บนเสื่อหรือที่นอน) ปล่อยคัวตามสบาย ทิ้งน้ำหนักตัว แขนและขาให้เหมือนกับตัวเราจมลงไปในพื้น

        2. คลายเกร็งมือ โดยกำมือทั้งสองข้างออกแรงเกร็งเต็มที่จนแขนสั่น นับ 1 - 10 แล้วปล่อยแขนเหยียดตามสบาย

        3. คลายเกร็งเท้า โดยเหยียดปลายเท้าไปข้างหน้า นับ 1 -10 แล้วปล่อยขาหย่อนตามสบาย

        4. คลายเกร็งคอและไหล่ โดยยกศีรษะขึ้น ให้คางจรดหน้าอก หมุนคอช้าๆ จากซ้ายไปขวาจนครบรอบ แล้วหมุนกลับจากขวามาซ้าย จากนั้นนอนหงายตามปกติ

        5. คลายเกร็งลำตัว โดยแขม่วท้องให้รู้สึกเหมือนสะดือจรดกระดูกสันหลังหายใจเข้ายาวๆ แล้วกลั้นไว้ นับ 1 - 10 แล้วจึงหายใจออก ทำซ้ำอีกคร้ง

        ต่อจากนั้นให้หายใจยาวๆ ตามปกติจะรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลาย แต่หากยังรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลาย แต่หากยังรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายไม่เต็มที่ ให้ทำซ้ำข้อ 1 - 5 อีก 1 - 2 ครั้ง 

              
           

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Health Life 2 You - เรียนรู้วิธีการสยบ 5 โรคฮิตคนทำงาน

เรียนรู้วิธีสยบ.... 5 โรคฮิตคนทำงานเหตุโกร๊ธฮอร์โมนหาย

         หาก ยังจำกันได้ ไม่นานมานี้กระทรวงสาธารณสุขเพิ่งจัดโครงการ “วัยทำงานปลอดโรค ปลอดภัย กายใจเป็นสุข” ขึ้น เพื่อส่งเสริมสุขภาพคนวัยทำงานอย่างจริงๆ จังๆ

        เนื่อง จากมีการคำนวณคร่าวๆ ว่า คนเราทำงานวันละ 8-9 ชั่วโมง และตลอดอายุงานจะทำงานเฉลี่ย 53,000 ชั่วโมง จากข้อมูลนี้คงทำให้หลายคนตาโต เพราะจะเห็นได้ว่า เวลากว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตอุทิศให้กับการทำงานเสียเป็นส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้เราจึงจำเป็นต้องเตรียมกายและใจให้พร้อมอยู่เสมอ จะได้มีเรี่ยวแรงทำงานให้สำเร็จลุล่วง การที่คนวัยทำงานจะมีสุขภาพ เป็นเลิศได้นั้น มีต้นทางสำคัญคือ โกร๊ธฮอร์โมน (Growth Hormone: G.H.) ซึ่งเปรียบได้กับแม่ทัพช่วยบำรุงความแข็งแรง คงความเป็นหนุ่มเป็นสาว สร้างความกระฉับกระเฉง โดยเฉพาะขจัดปัญหาสุขภาพของคนทำงานได้อยู่หมัด

        ชีวจิตจึงรวบรวมสุดยอดเคล็ดลับกระตุ้นโกร๊ธฮอร์โมน ฉบับทำง่ายได้ผลจริงมาให้เพื่อนๆ คนทำงานนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน รับรองว่าศักยภาพของคุณจะเต็มเปี่ยมจนคนรอบข้างอิจฉาอย่างแน่นอนค่ะ

- 5 โรคฮิตคนทำงานเหตุโกร๊ธฮอร์โมนหาย 

        แม้ปัญหาสุขภาพของคนทำงานจะเกิดได้จากหลายสาเหตุปัจจัย แต่หากมองในเรื่องของโกร๊ธฮอร์โมนที่เป็นหัวใจสำคัญของภูมิชีวิต แต่ชีวิตการทำงานทำให้ต้องลดลงจากเดิมอย่างมากแล้วล่ะก็ คุณมีแนวโน้มป่วยด้วยโรคหรืออาการยอดฮิตต่อไปนี้ค่ะ

        1. หัวใจอ่อนแอ ล่าสุดผลการสำรวจโรคเรื้อรังในคนวัยทำงานอายุระหว่าง 15-59 ปี พ.ศ.2552 โดยกระทรวงสาธารณสุข พบว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดมาแรงแซงทุกโรคจนกลายเป็นอันดับ 1

        แพทย์หญิง วิเวียน เอส. เฮอร์แมน-โบเนิร์ต ผู้เชี่ยวชาญโรคต่อมไร้ท่อ ประจำศูนย์การแพทย์ซีดาร์-ไซนาย ประเทศสหรัฐอเมริกา อธิบายไว้ในหนังสือ The Pituitary ว่า “โกร๊ธฮอร์โมนมีอิทธิพลต่อโครงสร้างและการทำงานของ หัวใจ หากฮอร์โมนลดลงจะเพิ่มโอกาสป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ เมื่อเป็นแล้วยังมีแนวโน้มเสียชีวิตมากกว่าคนปกติ

        “เนื่องจากร่าง กายสลายไขมันตัวร้าย คือ คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ได้ไม่ดี แถมไขมันชนิดดีอย่าง HDL ยังลดลงด้วย ไขมันตัวร้ายทั้งคู่จึงเกาะตามผนังหลอดเลือด จนกระทั่งจับตัวเป็นคราบไขมันสะสม (plaque) เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวและตีบ มีลิ่มเลือดขัดขวางการไหลเวียนเลือดไปยังหัวใจหรือสมอง ส่งผลให้มีภาวะหัวใจวาย บ้างเกิดโรคหลอดเลือดสมอง”

       2. อ้วนได้อ้วนดี นอกจจากไทยจะติดอันดับ 5 ของประเทศที่มีคนอ้วนมากที่สุดในแถบเอเซียแปซิฟิกแล้ว กรมอนามัย กระทรวงสาธารรสุข ยังเก็๋บข้อมูล พ.ศ.2550 พบว่า กลุ่มคนเมืองที่ทำงานออฟฟิศเป็นโรคอ้วนจำนวนมาก ยกตัวอย่างเช่น คนทำงานในกรุงเทพฯ มีภาวะอ้วนลงพุง 69.7

        ข้อมูลจากคุณหมอวิเวียนพบอีกว่า "โดยทั่วไปเมื่อเรากินอาหาร ตับอ่อนจะหลั่งอินซูลิน (Insulin)
ออกมาจำนวนหนึ่ง เพื่อเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลกลูโคส แล้วร่างกายจึงดึงไปใช้เป็นพลังงาน เมื่อไรที่น้ำตาลคลูโคสหมด ไขมันที่สำรองไว้จะถูกนำมาใช้สร้างพลังงานทดแทน

        "โกร๊ธฮอร์โมนมีหน้าที่กระตุ้นให้ตับหลั่งสารกระตุ้นการเติบดตที่มีโครงสร้างคล้ายอินซูลิน (IGF-1 : Insulin Like Growth  Factor-1) เพื่อยับยั้งไม่ให้อินซูลินนำน้ำตาลกลูโคสมาใช้ เท่ากับบังคับให้ร่างกายเผาผลาญไขมันเป็นพลังงาน เราจึงสามารถรักษาสมดุลน้ำหนักตัวไว้ได้"

        "ครั้นโกร๊ธฮอร์โมนลดลง อันเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การเผาผลาญไขมันผิดปกติ ร่างกายจึงมีเซลล์ไขมันเพิ่มขึ้นขณะที่กล้ามเนื้อชนิดที่ไขมันน้อยลดลง ก่อให้ไขมันสะสมพอกพูนตามส่วนต่างๆ เช่น รอบเอว ต้นแขน ต้นขา พร้อมกันนี้ ถ้าเรายิ่งอ้วนมากขึ้นเท่าไร โกร๊ธฮอร์โมนจะหลั่งน้อยลงเท่านั้น ไม่ว่าจะลดน้ำหนักอย่างไรอาจแก้ไขไม่ถูกจุด"

        3. ผิวหมดสวยก่อนวัย นอกจากโกร๊ธฮอร์โมนลดลงตามธรรมชาติอันเนื่องมาจากอายุเพิ่มขึ้นแล้ว หากคนทำงานเกิดความเครียดหรือทำงานอย่างหักโหม ล้วนเร่งให้ฮอร์โมนทำงานสะดุดจนกระทบสุขภาพความงาม เป็นเหตุเหตุให้คนทำงานดูอายุเกินกว่าวัยและขาดความมั่นใจในตัวเอง

        แพทย์หญิงสายชลี ทาบโลกา เจ้าของคอลัมน์ ชีวจิต  Anti - aging  กล่าวว่า

        "เมื่อโกร๊ธฮอร์โมนลดลง จะทำให้ผิวหน้าหย่อนคล้อย มีริ้วรอยเพิ่มมากขึ้นไม่กระชับ ดดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ได้แก่ ใต้ตา พวงแก้ม คาง บางรายมีผมหงอกมาเยือนก่อนเวลา และผมขาดความเงางาม"

        เนื่องจากว่าโกร๊ธฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างโปรตีนที่เนื้อเยื่อหลายชนิด ดดยเพิ่มการดูดซึมกรดแอมิโน (Amino Acid) หากโกร๊ธฮอร์โมนลด ร่างกายจึงสร้างโปรตีนประเภทอิลาสติน (Elastin) คอลลาเจน (Collagen) ที่เป็นส่วนสำคัญของเซลล์เนื้อเยื่อผิวหนังน้อยลง การซ่อมแซมเนื้อเยื้อลดลง ผิวพรรณที่เคยตึงกระชับเปล่งปลั่งจึงหายไปด้วย

        4. กระดูกไม่แข็งแรง โกร๊ธฮอร์โมนสำคัญต่อความสูงและความแข็งแรงของกระดูกมาก ช่วงเวลาที่กระดูกคนเราจะมีความหนาแน่นและแข็งแรงมากที่สุดที่ราวอายุ 20 - 30 ปี หรือเทียบได้กับช่วงวัยทำงานตอนต้นตอมากระดูกจะค่อยๆ คลายความแข็งแรง โดยเฉพาะในคนทำงานที่มีภาวะวัยทองหรือเข้าใกล้วัยเกษียณ

        การศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของโกร๊ธฮอร์โมนกับกระคูก โดยสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งสหรัฐอเมริกา รายงานว่าโกร๊ธฮอร์โมนมีหน้าที่ในการก่อรูปกระดูกเก่าให้สมดุล กับการสร้างกระดูกขึ้นมาใหม่ นอกจากนี้ยังส่งเสริมการเจริญเติบโตของกระคูกอ่อนและเนื้อเยื่อต่างๆ

        ดังนั้น เมื่อโกร๊ธฮอร์โมนหลั่งน้อยลงเรื่อยๆ จึงอาจมีส่วนทำให้มวลกระดูกลดลง เกิดกระดูกบาง จนกระทั้งกระดูกพรุน

        5. สุขภาพจิตย่ำแย่  ผลจากระดับโกร๊ธฮอร์โมนลดลง ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าอาจสะท้อนออกทางสภาวะอารมณ์ในบางกรณี ทำให้มีปัญหาการทำงานและความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน

        วารสาร European Endocrine Review 2006 รายงานว่า กลุ่มคนที่มีระดับดกร๊ธฮอร์โมนต่ำกว่าปกติโดยเฉพาะ ถ้าถึงขั้นมีภาวะโกร๊ธฮอร์โมนพร่องด้วยแล้ว จะมีคุณภาพชีวิตไม่ค่อยดีนัก สำหรับทางด้านจิตใจนั้น พวกเขาอาจมีอารมณ์ ขึ้นๆ ลงๆ ขี้หงุดหงิด เหนื่อยล้า ขาดสมาธิ ความจำถดถอย ชอบแยกตัวอยู่คนเดียวตามลำพัง ซึมเศร้า เป็นต้น

ข้อมูล : นิตยสารชีวจิต ฉบับ 336   

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Health Life 2 You - มาทำความรู้จัก Growth Hormone

Growth Hormone..กุญแจสู่ความเป็นหนุ่มเป็นสาวตลอดกาล

        พอพูดถึงความแก่ ตัวการที่ทำให้ร่างกายเราแก่หรือชราภาพนั้น คือฮอร์โมนค่ะ โดยฮอร์โมนที่ลืมเสียมิได้เลย คือ โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone/GH) ซึ่งถูกยกย่องว่า เป็นฮอร์โมนแห่งความเป็นหนุ่มเป็นสาวกันเลยทีเดียว

      โกรทฮอร์โมน เป็นฮอร์โมนสำคัญที่ร่างกายผลิตขึ้นได้เอง ทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดการสร้าง และซ่อมแซมเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโต พูดง่ายๆ คือ เป็นฮอร์โมนที่ควบคุมทุกระบบของร่างกายเลย

         เห็น ความสำคัญของเจ้าโกรทฮอร์โมนกันแล้วใช่ไหม แต่ข่าวร้ายก็คือ หลังจากอายุ 25 ปีแล้ว ฮอร์โมนนี้จะลดลง 15% ทุกๆ 10 ปี จนเมื่ออายุ 60 ปี…โกรทฮอร์โมนจะลดลงเหลือต่ำกว่า 10% ของวัยหนุ่มสาว

        ผลร้ายที่ตาม มาจากการลดลงของฮอร์โมนตัวนี้คือ ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยล้าๆ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง นอนหลับไม่สนิท ระบบเผาผลาญของร่างกายทำงานช้าลง ส่งผลให้อ้วนง่าย ความจำแย่ลง เซ็กซ์เสื่อมลง และอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นโรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจ แถมยังทำให้ริ้วรอยแห่งความชรามาเร็วและชัดเจนขึ้น

        แบบ นี้แล้วจะทำอย่างไรที่จะหาทางเพิ่มโกรทฮอร์โมนให้กับร่างกาย คำตอบก็คือเราสามารถกระตุ้นต่อมใต้สมองให้สร้างและหลั่งโกรทฮอร์โมนตาม ธรรมชาติออกมาได้ด้วยหลายวิธี ดังต่อไปนี้

         1. ออกกำลังกายช่วยได้ค่ะ เพราะการออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5-6 ครั้งอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยกระตุ้นการสร้างโกรทฮอร์โมนได้ดี

         2. พักผ่อนให้เพียงพอและตรงเวลาทุกวัน โดยเฉพาะช่วง 4 ทุ่มถึงตี 5 เป็นช่วงเวลาของการหลั่งโกรทฮอร์โมน

        3.เลี่ยง ความเครียด เพราะความเครียดทำให้ต่อมหมวกไตหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา ฮอร์โมนความเครียดออกฤทธิ์ต้านโกรทฮอร์โมน โกรธ ทำให้แก่เร็ว และใช้การฝึกสมาธิเพราะการฝึกสมาธิช่วยฟื้นฟู และปรับสภาพต่อมใต้สมองให้ทำงานดีขึ้นมาก

     ทั้งหมดนี้เป็นวิธีช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตโกรทฮอร์โมนออกมาเองจากกระบวนการ ของร่างกาย แต่ปัจจุบันทางการแพทย์มีวิธีการเพิ่ม Growth Hormone ในผู้สูงอายุให้กลับดูเป็นหนุ่มสาวขึ้น กระชุ่มกระชวย มีชีวิตชีวา และผิวพรรณเต่งตึงขึ้นได้ด้วยวิธีการฉีดโกรทฮอร์โมนเข้ากล้ามเนื้อใต้ชั้น ผิวหนัง แต่มีข้อเสียคือหากร่างกายได้รับโกรทฮอร์โมนมากเกินไป จะทำให้ระบบการทำงานของฮอร์โมนอื่นๆ ในร่างกายรวนได้ ที่สำคัญคือโกรทฮอร์โมนที่ทางการแพทย์ใช้ฉีดนั้น

        จัดเป็นยาชนิดหนึ่ง ต้องมีการดูแลและควบคุมการใช้โดยแพทย์เท่านั้น ส่วนโกรทฮอร์โมนในรูป แบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นชนิดรับประทาน หรือสเปรย์อมใต้ลิ้น หรือรูปแบบอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้วจะขึ้นทะเบียนในรูปของอาหารเสริมค่ะ จะได้ผลมากน้อยแค่ไหน ย่อมแตกต่างกับโกรทฮอร์โมนที่แพทย์ใช้แน่นอน

         อย่า ลืมว่าเดินทางสายกลางย่อมเป็นทางที่ดีที่สุด หากปรารถนาจะคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวไว้ให้นานที่สุด ก็ลองใช้วิธีเพิ่มโกรทฮอร์โมนด้วยวิธีการธรรมชาติดีที่สุดค่ะ ปลอดภัย ไร้กังวลและไม่เสียสตางค์ เหมาะกับยุคสมัยที่สุด

ข้อมูล/ภาพ : apexprofoundbeauty.com

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Facebook Themes